HoonSmart.com>>หุ้นเอเชียมีทั้งบวกและลบ ส่วนไทยร่วง1.06% แรงขายต่างชาติ 1,612.80 ล้านบาท ส่วนคนไทยเก็บ 1,743 ล้านบาท “บล.ทิสโก้”จับตาครม.วันพรุ่งนี้ คลอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ “บล.บัวหลวง” มองหุ้นครึ่งปีหลังยังไม่สดใส นักลงทุนขาดความมั่นใจ เศรษฐกิจไทยอาจตกหลุม ไตรมาส 1โตต่ำเพียง 1.5% หั่นเป้าดัชนี SET สิ้นปีลงที่ 1,539 จุด เชียร์กลุ่มปิโตรเคมี,อิเล็กทรอนิกส์,ไฟแนนซ์,อาหาร, การบริโภค และการท่องเที่ยว แนะกระจายพอร์ต เพิ่มหุ้นต่างประเทศ
ตลาดหุ้นวันที่ 10 มิ.ย.67 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,318.57 จุด ลดลง 14.17 จุด หรือ -1.06% มูลค่าซื้อขาย 38,324.69 ล้านบาท ส่วนตลาดหุ้นเพื่อนบ้าน ญี่ปุ่น บวก 0.92% เกาหลีใต้ -0.79 % และฮ่องกง -0.59%
สาเหตุที่ตลาดหุ้นไทยร่วงลงแรงกว่าภูมิภาค เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 1,612.80 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 1,743.39 ล้านบาท และสถาบันซื้อสุทธิ 169.96 ล้านบาท
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวลงมากกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) และ Dollar Index ปรับตัวขึ้นหลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐออกมาดีกว่าคาด ด้านตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้เคลื่อนไหวในแดนลบ จากความไม่แน่นอนทางการเมืองหลังฝรั่งเศสยุบสภา ส่วนตลาดหุ้นไทยก็ยังคงเผชิญแรงกดดันจาการเมืองในประเทศด้วย
อย่างไรก็ดี ให้ติดตามการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันพรุ่งนี้ (11 มิ.ย.) รอดูว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาใหม่หรือไม่ แต่หลักสำคัญอยู่ในวันที่ 12 มิ.ย.ที่จะต้องติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (กนง.) และศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณาในกรณีของการยุบพรรคก้าวไกล รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภคของจีน และสหรัฐฯ
แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (11 มิ.ย.) คาดว่าจะแกว่ง Sideway Down หลังไม่สามารถยืนเหนือ 1,320 จุดได้ พร้อมให้แนวรับ 1,300-1,310 จุด แนวต้าน 1,340-1,345 จุด
ด้านนายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนแรกปี 2567 ต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยกว่า 8.9 หมื่นล้านบาท, ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง 5.47% จากต้นปี, ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลง 6.2% ท่ามกลางนักลงทุนรอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากรัฐ ขณะที่กำไรสุทธิบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไตรมาส 1/2567 อยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (ทีมวิจัยหลักทรัพย์ฯ coverage กำไรบจ. โต 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) หนุนโดยกำไรที่โดดเด่นของกลุ่มอาหาร, ท่องเที่ยว, โรงพยาบาล, ขนส่ง, พัสดุหีบห่อ และมีเดีย
ขณะที่กลุ่มพัฒนาอสังหาฯ ก่อสร้าง และชิ้นส่วนยานยนต์ มีกำไรลดลง สรุป คือ ตัวเลขกำไรบจ. ในช่วงไตรมาสแรก ที่ผ่านมา ไม่ได้ออกมาเซอร์ไพรส์ตลาดมากพอที่จะเห็นอัพเกรดกำไรบจ. ขึ้นเมื่อเทียบกับกำไรบจ. ของประเทศในกลุ่มอาเซียนที่เติบโตได้สูงกว่าไทย ทำให้เม็ดเงินนักลงทุนต่างประเทศที่จะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยอาจต้องรอต่อไป
สำหรับมุมมองตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลัง ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวง คาดการณ์ว่าอาจไม่สดใสมากนัก หลังนักลงทุนขาดความมั่นใจในการลงทุน จากหลากหลายปัจจัยความเสี่ยง เช่น เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังที่ยังคงดูฟื้นตัวได้ช้า การผลักดันมาตรการใหม่จากรัฐยังคงเลื่อนออกไปและมีโอกาสจะตกหลุมอากาศ ยิ่งในช่วงไตรมาส 3 ที่เป็นโลว์ซีซั่นหน้าฝนจะเป็นช่วงที่กำไรบจ. เข้าสู่รอบจุดต่ำสุด
แม้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 67 ตัวเลข GDP จะเติบโต 1.5% จากภาคการท่องเที่ยวและส่งออกที่เริ่มดีขึ้นก็ตาม แต่การเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 ของภาครัฐ เพื่อการลงทุนเบิกจ่ายเพียง 12% ของงบประมาณทั้งหมด เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่มีสถิติการเบิกจ่ายเฉลี่ยประมาณ 30-40%
ขณะเดียวกันภาคการส่งออกเริ่มส่งสัญญาณไม่ค่อยดีนัก,การบริโภคภายในประเทศเริ่มอ่อนแอลงสังเกตจากยอดขายสินค้าคงทนจำพวกรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ อสังหาฯ เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ลดลงติดต่อกันหลายเดือน จึงมีความเสี่ยงการปรับลดเป้าหมายตัวเลข GDP ปี 67 รวมถึงมาตรการคุมเข้ม Short sell เพิ่มเติมของตลาดหลักทรัพย์ฯ อาจยังไม่ได้ประกาศใช้ในเร็ว ๆ นี้
สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลก เริ่มเข้าสู่เส้นทาง Cool Down อีกครั้งจากนโยบายการเงินที่ตึงตัว ขณะที่ราคาน้ำมันดิบลดลงแม้กลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน (OPEC) จะขยายเวลาลดอัตราการผลิตน้ำมันออกไปได้ สะท้อนภาพการบริโภคน้ำมันรวมของโลกที่ยังไม่สดใสอาจส่งผลกระทบต่อกำไรรวมของตลาดหุ้นไทย ที่มีหุ้นกลุ่มเกี่ยวข้องกับน้ำมัน, ปิโตรเคมี,พลังงาน สัดส่วนสูงถึง 25% รวมถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวลงในด้านการบริโภคผ่านการใช้บัตรเครดิตและยอดการผิดนัดชำระหนี้บัตร
ส่วนเรื่องอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ มองว่าได้ผ่านจุดพีคมาแล้ว และยังคงอยู่ในทิศทางขาลง คาดว่าจะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมเดือนก.ย.นี้ และตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเข้าสู่การปรับฐานรอบใหม่ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพ.ย.
กรณีที่รมว.คลังมีแนวคิดจะผลักดันกองทุน LTF กลับมาอีกครั้ง ยังไม่ได้คาดหวังว่าวงเงินเพื่อการหักภาษีจะสูงมากนัก เนื่องจากภาครัฐจำเป็นต้องใช้เม็ดเงินอัดเข้าไปกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นหลัก ดังนั้นแรงผลักดันกองทุน LTF จะสามารถเห็นผลได้เร็วสุดในช่วงปลายปี แต่คงไม่ได้มากเท่าเดิม คาดว่าจะอยู่ราว 1-1.5 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับในอดีตที่อยู่ประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาททุกปี เทียบกับเม็ดเงิน LTF เดิมที่คงค้างในระบบและรอไถ่ถอนได้ประมาณ 2.4 แสนล้านบาท
“เรายังคงเป้าหมายดัชนี SET สิ้นปี 67 ระดับ 1,539 จุด ปัจจุบันยังมีอัพไซด์ประมาณ 15% โดยได้ปรับลดคาดการณ์ดัชนีลงจากเดือนธ.ค.66 ที่มองไว้ระดับ 1,620 จุด อ้างอิงจากคาดการณ์กำไรบจ. ปี 67 โต 15% จากปีก่อน ส่วนค่า P/E ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันอยู่ระดับ 14.3 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่อยู่ 15.3 เท่า”นายชัยพร กล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับตลาดเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ที่มีค่า P/E ระดับ 15 เท่า แต่กำไรบจ. โต 25% มากกว่าไทย 2 เท่า ส่วนจีนและฮ่องกงกำไรคาดการณ์โตใกล้เคียงกับไทย แต่ค่า P/E ตลาดหุ้นฮ่องกงยังต่ำกว่า 10 เท่า และค่า P/E ตลาดหุ้นจีนอยู่ที่ 11.3 เท่า ทำให้หุ้นไทยอาจไม่ได้ดึงดูดนักลงทุนต่างชาติได้มากนักและอาจมีโอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยยังอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการดาวน์เกรดค่า P/E ลงมา หลังกำไรไม่ได้โดดเด่นอย่างที่คาด จนกว่าตัวเลขกำไรจะเติบโตอย่างสมเหตุสมผลและมีตัวเร่งก็จะขับเคลื่อนตลาดขึ้นใหม่
นายชัยพร กล่าวทิ้งท้ายว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่สดใสนัก แนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีที่อาจมีเซอร์ไพร์สด้านบวกจากปีก่อนที่ขาดทุน หลังเริ่มเห็นการฟื้นตัวของกำไรและส่วนต่างกำไรในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา, กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ หนุนด้วยออเดอร์ที่อาจเริ่มเข้ามาในช่วงไตรมาส 3 ,กลุ่มไฟแนนซ์ที่มีความเข้มงวดและระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น หลังตัวเลขหนี้ภาคครัวเรือนยังคงสูงและยังต้องรอมาตรการกระตุ้นการจับจ่าย ส่วนกลุ่มอาหาร, การบริโภค และการท่องเที่ยว น่าจะยังคงดีต่อเนื่อง