กองทุนรวม 4 เดือนโตแผ่วลง MFC แนะทยอยลงทุนหุ้นไทยเพิ่ม

HoonSmart.com>> “AIMC” เผยกองทุนรวม 4 เดือนแรกปี 66 แตะ 4.90 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.14 หมื่นล้านบาท หรือ 0.44% จากสิ้นปีก่อน แต่แผ่วลงจากเดือนมี.ค. ภาพรวมการลงทุนทั่วโลกยังคงผันผวน “ตราสารหนี้” ได้รับความนิยมต่อเนื่อง ด้าน “MFC” ชี้เดือนเม.ย. Global REIT ผลตอบแทนพุ่งสูงสุด 7.8% ตลาดคาด Yield Spread กลับมาน่าสนใจ ส่วนหุ้นไทยร่วงกดราคาถูกลง แนะทยอยลงทุนเพิ่ม มองแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัว คาดฟันด์โฟลว์ไหลกลับ จับตาผลเลือกตั้ง หากพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลรวมเสียงได้เกิน 375 ที่นั่ง เป็น Sentiment บวกหนุนดัชนี

สมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) เปิดเผยภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมช่วง 4 เดือนแรกปี 2566 สิ้นสุด 28 เม.ย.ที่ผ่านมา มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 4,900,287 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21,394 ล้านบาท หรือ 0.44% จากสิ้นปี 2565 มีมูลค่า 4,878,893 ล้านบาท โดยเติบโตลดลงจากช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิขึ้นไปแตะ 4,926,325 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47,376 ล้านบาท หรือ 0.97% จากสิ้นปีก่อน

สำหรับกองทุนตราสารหนี้ในช่วง 4 เดือนแรกมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นสูงสุด 52,774 ล้านบาท หรือ 2.57% จากสิ้นปีก่อนมาอยู่ที่ 2,105,694 ล้านบาท รองลงมาเป็นทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มูลค่าเพิ่มขึ้น 13,273 ล้านบาท หรือ 6.04%

ขณะที่กองทุนหุ้นมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิลดลงสูงสุด 39,152 ล้านบาท หรือ -2.43% รองลงมากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานลดลง 8,308 ล้านบาท หรือ -2.14% กองทุนรวมผสมลดลง 6,979 ล้านบาท หรือ -2.01% เป็นต้น

หากแยกรายประเภทกองทุนพบกองทุนเพื่อไปลงทุนต่างประเทศ (FIF) มูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 954,265 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36,397 ล้านบาท หรือ 3.97% จากสิ้นปี 2565 ขณะที่กองทุนรวมตลาดเงิน (มันนี่ มาร์เก็ต) มูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 278,131 ล้านบาท ลดลง 31,889 ล้านบาท หรือ -10.29% จาก 310,021 ล้านบาท สิ้นปีก่อน สะท้อนเงินไหลออกไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นเพื่อสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น

ส่วนกองทุนประหยัดภาษี พบว่า กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) มีมูลค่าอยู่ที่ 297,079 ล้านบาท ลดลง 35,273 ล้านบาท หรือ -10.61% กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) มีมูลค่า 398,874 ล้านบาท ลดลง 5,427 ล้านบาท หรือ -1.34% และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) มูลค่าอยู่ที่ 47,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,273 ล้านบาท หรือ 3.68%

ขณะที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นในช่วง 4 เดือนแรก 34,695 ล้านบาท หรือ 3.25% จากสิ้นปีก่อน มาอยู่ที่ 1,100,723 ล้านบาท ส่วนแบ่งการตลาด 22.46% รองลงมา บลจ.ไทยพาณิชย์เพิ่มขึ้น 5,949 ล้านบาท หรือ 0.67% มาอยู่ที่ 898,055 ล้านบาท ส่วนแบ่ง 18.33%

ด้านบลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) เผยภาพรวมตลาดการเงินทั่วโลกเดือนเม.ย.66 พบ Global REIT ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นโดดเด่นสูงถึง 7.8% หลังปรับตัวลดลงสองเดือนติดต่อกัน โดย MFC มีมุมมองเชิงบวกต่อกองทุนอสังหาริมทรัพย์ REITs ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดมีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพียงครั้งเดียวที่ 0.25% ในการประชุม 3 พ.ค.66 จึงคาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ น่าจะมีทิศทางปรับตัวลดลงในระยะข้างหน้าหรือปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่าระดับปัจจุบันไม่มาก ซึ่งจะส่งผลให้ Yield Spread กลับมาน่าสนใจ

อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอย อาจส่งผลกระทบต่อรายได้ค่าเช่าของกองทุน Global REITs ระยะยาวได้ จึงให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มกองทุนอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกเป็น Neutral แต่มีมุมมองเชิงบวกต่อกองทุนอสังหาริมทรัพย์ไทยและเอเชีย โดยให้น้ำหนักการลงทุนเป็น Slightly Overweight เนื่องจากทิศทางของเศรษฐกิจในกลุ่มเอเชียอยู่ในช่วงฟื้นตัว และ Asia REITs มี Yield Spread มากกว่าทางสหรัฐฯ โดยให้ Dividend Yield อยู่ในระดับสูงประมาณ 5-6% และอัตราจ่ายปันผลฟื้นตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ นอกจากนี้ Asia REITs ค่อนข้างปรับขึ้นช้ากว้าตลาดอื่นๆ นับตั้งแต่เกิดการระบาดและปัจจัยราคายังไม่แพง จึงมีความน่าสนใจในการทยอยลงทุนระยะยาวมากกว่า แนะนำกองทุน MPII, MPDIVMF

สำหรับตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ในเดือนเม.ย.66 ค่อนข้างผันผวน โดยดัชนีปรับตัวลดลงปิดที่ 1,529.12 จุด ผลตอบแทนเดือนเม.ย.ลดลง 4.97% ขณะที่ SETTRI INDEX ลดลง 4.49% โดยมองหุ้นไทยยังน่าสนใจลงทุน ระยะสั้นตลาดยังแกว่งตัวผันผวนในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนพ.ค. นักลงทุนยังกังวลธนาคารกลางสหรัฐฯและธนาคารกลางยุโรปปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยช่วงต้นเดือนพ.ค. และรอดูผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1/66 และทิศทางการเมืองภายในประเทศที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปของไทยในวันที่ 14 พ.ค.นี้

“หากผลการเลือกตั้งมีพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลสามารถรวมเสียงได้เกิน 375 ที่นั่ง ก็อาจจะเป็น Sentiment ที่ดีต่อดัชนี SET INDEX ได้ แต่ถ้าจำนวนที่นั่งไม่ถึงก็อาจทำให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนหรืออาจมีแรงขายทำกำไรได้”บลจ.เอ็มเอฟซี ระบุ

พร้อมกันนี้มองดัชนี SET ยังราคาถูกจึงมีความน่าสนใจสามารถทยอยลงทุนเพิ่มได้ โดยปัจจุบันค่า Forward P/E ของดัชนี SET อยู่ที่ 14.4771 เท่า ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว 10 ปี ที่ประมาณ -0.5 S.D. โดยคาดว่าดัชนี SET จะแกว่งตัวภายในกรอบ 1,500-1,620 จุด แรงผลักดันจากภาคการท่องเที่ยวและการลงทุนของภาครัฐและเอกชน รวมถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการส่งออกของไทย (ข้อมูล ณ 28 เม.ย.66)

แนวโน้มเงินลงทุนจากต่างชาติ แม้ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา กระแสเงินทุนจะไหลออกจากตลาดหุ้นไทย โดยมียอดขายสุทธิ 7,885.40 ล้านบาทในเดือนเม.ย.66 แต่มองกระแสเงินลงทุนมีโอกาสไหลกลับมา เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังมีความแข็งแกร่งและอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว

“ปัจจุบันเราคงน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยระยะสั้นเป็น Neutral ส่วนภาพระยะกลางถึงยาวให้น้ำหนักเป็น Slightly Overweight มุมมองแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นไทยเมื่อราคาย่อตัว กองทุนแนะนำ MBT-G, M-MIDSMALL และ M-FOCUS”บลจ.เอ็มเอฟซี ระบุ

ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ คงน้ำหนักการลงทุนเป็น Neutral จาก upside ที่จำกัดและความเสี่ยงปัญหาเพดานหนี้กลับมาอีกครั้ง และให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปเป็น Neutral โดยยังต้องติดตามอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังอยู่ระดับสูงและยังปรับขึ้นต่อเนื่อง แนะนำกองทุร MEURO, M-EUBANK

พร้อมทั้งปรับมุมมองระยะสั้นในตลาดหุ้นจีนเป็น Neutral จากความกังวลปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ไต้หวัน-จีนและมาตรการกีดกันทางการค้าจีน-สหรัฐฯ และรายงานตัวเลขเศรษฐกิจจีนภาคการผลิตในเดือนเม.ย.กลับมาลดลงอยู่ที่โซนหดตัวจากกเดือนมี.คขยายตัวได้ดี แต่ในระยะยาวยังมีมุมมองบวก เป็น Slightly Overweight จากปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวและราคาน่าสนใจ กองทุนแนะนำ MCHINA, MCHEVO