MAGURO “ให้มากกว่าที่ขอ” มั่นใจ 5 ปี รายได้แตะ 2,000 ล้าน

HoonSmart.com>>มากุโระ กรุ๊ป (MAGURO) แบรนด์ร้านอาหารที่เกิดจากการรวมตัวของคนรุ่นใหม่ ที่หลงใหลในวัฒนธรรมอาหาร ยึดหลักปรัชญา “ให้มากกว่าขอ” ในการดำเนินธุรกิจมีรายได้แตะระดับ 1,000 ล้านบาท ย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุนรายย่อย เปิดแผนขยายสาขาปีละ 10 แห่ง มั่นใจ 5 ปี รายได้แตะ 2,000 ล้าน

“4 สหาย” รวมตัวกำเนิด “มากุโระ”
บริษัท มากุโระ กรุ๊ป หรือ MAGURO ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมียม ภายใต้แบรนด์ “MAGURO” (มากุโระ) ร้านปิ้งย่างเกาหลี “SSAMTHING TOGETHER” และร้านชาบูและสุกี้สไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม “HITORI SHABU” เกิดจากการรวมตัวกันของนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่หลงใหลในวัฒนธรรมอาหาร กับหลักปรัชญาที่ว่า “ให้มากกว่าขอ” (Give More) ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา

และวันนี้ MAGURO เสนอขาย IPO ให้กับนักลงทุนทั่วไป ในราคาหุ้นละ 15.90 บาท จำนวน 34.06 ล้านหุ้น จองซื้อ 28 – 30 พ.ค.ที่ผ่านมา และเข้าเทรดวันที่ 5 มิ.ย. 2567

จักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้งร้านอาหารกลุ่มธุรกิจในเครือมากุโระ กรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทมีจุดแข็งในทีมบริหาร โดยเฉพาะผู้ก่อตั้งทั้ง 4 คน ที่มีประสบการณ์หลากหลายจากสาขาอาชีพที่แตกต่างกัน แต่มารวมตัวกันก่อตั้งธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นภายใต้แบรนด์ “MAGURO” เมื่อ 9 ปีที่ผ่านมา ด้วยเงินลงทุนคนละ 1 ล้านบาท จากความหลงใหลในวัฒนธรรมอาหารญี่ปุ่น และหลักปรัชญาที่ว่า “ให้มากกว่าขอ” (Give More) ซึ่งเป็นแนวคิดของคนญี่ปุ่น และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ธุรกิจของมากุโระมีความแตกต่าง

“มากุโระ กรุ๊ป ถือเป็นเจ้าแรก ๆ ที่เข้ามาทำร้านอาหารญี่ปุ่นในแบบที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน ซึ่งเราใช้เวลาศึกษาตลาดกว่า 1 ปี จึงเห็นว่ามีช่องว่างในตลาด ซึ่งเราเรียกว่าเป็นเซกเมนต์พรีเมียมแมส ที่เน้นใช้วัตถุดิบสด ใหม่ มีคุณภาพ ในราคาเอื้อมถึง และด้วยสาขาแรกของเราอยู่ในพื้นที่ค้าปลีกแบบเฉพาะ (Specialty Store) ที่มีกลุ่มลูกค้าเฉพาะ เราจึงใช้ช่องทางออนไลน์ สื่อโซเชียล มีเดียเข้ามาเป็นเครื่องมือในการทำตลาด สร้างแบรนด์ ทำคอนเทนต์ สร้างสตอรี่ ซึ่งเป็นคีย์สำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง”

3 ปี รายได้เติบโตก้าวกระโดด
ในฐานะนักการตลาด จักรฤกติ ได้ใช้ออนไลน์เป็นเครื่องมือในการเจาะเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ด้วยการสร้างแบรนด์ สตอรี่ ผ่านทั้งโซเชียล มีเดีย LINE OA ซึ่งนอกจากจะช่วยให้แบรนด์แข็งแรงแล้ว ยังได้ข้อมูลลูกค้า หรือ DATA ที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการนำข้อมูลลูกค้ามาวิเคราะห์ ศึกษา รวมถึงการวิจัยและพัฒนาเมนูต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และเป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มเป้าหมาย ปัจจุบันมากุโระ มีฐานสมาชิกถึง 150,000 คน และมีรายได้จากสมาชิกถึง 54% จากรายได้รวม ถือเป็นแบรนด์ที่มี Loyalty สูงมาก และเป็นฐานที่แข็งแรงที่สร้างการเติบโตให้กับ MAGURO

อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดด้านเงินทุนทำให้การขยายสาขาในช่วง 5 ปีแรกค่อนข้างช้า โดยมี 7 – 8 สาขา แต่หลังจากกลุ่ม Horistic Impact Pte Ltd กองทุน Private Equity เครือลอมบาร์ด สิงคโปร์เข้ามาถือหุ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ปัจจุบันมากุโระ กรุ๊ป มีร้านอาหารภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ รวม 27 สาขา เป็นสาขาร้าน MAGURO 14 สาขา SSAMTHING TOGETHER 6 สาขา และ HITORI SHABU 7 สาขา

สำหรับรายได้ของมากุโระ กรุ๊ปในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยปี 2564 รายได้ 385 ล้านบาท กำไรสุทธิ 9.67 ล้านบาท ปี 2565 รายได้ 664 ล้านบาท กำไรสุทธิ 31.36 ล้านบาท โดยปี 2566 รายได้ 1,044 ล้านบาท กำไรสุทธิ 72.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเท่าตัว และปีนี้มีแผนขยายสาขาใหม่ 11 สาขา และจะเปิดแบรนด์ร้านอาหารใหม่ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2567 และหลังจากเข้าตลาด mai บริษัทมีแผนขยายสาขาปีละอย่างน้อย 10 สาขา และมีอัตราการเติบโตปีละ 30% สำหรับปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ 1,300 ล้านบาท

“แนวทางการขยายสาขา และการพัฒนาแบรนด์ใหม่ ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงในการทำธุรกิจ การมองหาตลาดใหม่ ๆ ทำให้เราสนุกในการสร้างแบรนด์ การพัฒนาเมนูอาหาร ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งในอุตสาหกรรมอาหารในประเทศไทย มีพรมแดนที่กว้างใหญ่มาก และยังมีเซกเมนต์ย่อย ๆ ให้เราไปช่วงชิงตลาดได้อีกมาก” จักรฤกติกล่าว

ปัจจุบันตลาดอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทย มีมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท สำหรับเซกเมนต์พรีเมียมแมสที่ MAGURO เป็นผู้เล่นหลัก ยังมีสัดส่วนที่น้อย ดังนั้นจึงยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ขณะเดียวกัน MAGURO ก็พร้อมที่จะกระโดดเข้าชิงส่วนแบ่งในตลาดแมสที่ใหญ่กว่าด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว อย่างน้อยภายใน 5 ปีข้างหน้า บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท

‘ให้มากกว่าขอ” ยกบิ๊กล็อตให้นักลงทุนสถาบัน
สมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น กล่าวว่า การเสนอขาย IPO ครั้งนี้ จำนวนไม่เกิน 34.06 ล้านหุ้น แบ่งเป็นหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 21.46 ล้านหุ้น คิดเป็น  17.03% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่เสนอขาย และหุ้นเดิมที่เสนอขายโดย Horistic Impact Pte Ltd จำนวน 12.06 ล้านหุ้น คิดเป็น  10%  ซึ่งจะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ mai ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร วันที่ 5 มิ.ย. 2567

วันแรกของการซื้อขาย จะมีการทำรายการบิ๊กล็อตจากนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ 3 ราย ซึ่งมีการติดต่อเข้ามาลงทุนในหุ้น MAGURO เนื่องจากจำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขายครั้งนี้มีไม่เพียงพอ ดังนั้นผู้ร่วมก่อตั้งทั้ง 4 คน จึงได้ตกลงที่จะขายหุ้นส่วนที่เหลือจากการติด Silent Period ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 5,610,400 หุ้น คิดเป็น 4.45% ของหุ้นทั้งหมดภายหลัง IPO ให้แก่นักลงทุนสถาบัน 3 ราย ได้แก่

1. กองทุนส่วนบุคคล โดยบริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์  จำนวน 2,805,200 หุ้น 2. บริษัท ไทยประกันชีวิต จำนวน 1,402,400 หุ้น และ 3. บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำนวน 1,402,800 หุ้น

ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั่วไป นักลงทุนสถาบัน 3 ราย ร่วมกับ HoristicImpact Pte Ltd ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิม ยืนยันที่จะไม่ขายหุ้นที่ถือไว้ คิดเป็นสัดส่วน 13.52% ของหุ้นทั้งหมดหลัง IPO เป็นเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันแรกที่เริ่มซื้อขาย เมื่อรวมกับหุ้นที่ติด Silent Period จะมีหุ้นถูกห้ามขายรวมเป็นจำนวนกว่า  72.97% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท แสดงให้เห็นถึงความจริงใจของผู้ถือหุ้นที่ต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และเปิดโอกาสให้นักลงทุนเติบโตไปด้วยกันกับ MAGURO

“เราอยากพิสูจน์ให้นักลงทุนเห็นว่าหุ้นกลุ่มธุรกิจอาหารก็สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืนได้ โดยเฉพาะ MAGURO ซึ่งยึดถือปรัชญาในการดำเนินธุรกิจที่แตกต่าง จากมุมมองของคนรุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับการมอบประสบการณ์และรสชาติความอร่อยของอาหารเป็นหลัก ส่วนผลกำไรในการดำเนินธุรกิจก็ให้ความสำคัญเช่นเดียวกัน แต่ความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าต้องมาก่อน ซึ่งจะทำให้ผลกำไรที่ได้ตามมาเอง” จักรกฤติกล่าวทิ้งท้าย