HoonSmart.com>> บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เผยงวดปี 66/67 ขาดทุนหนัก 5,241 ล้านบาท จากงวดปีก่อนกำไร รับผลขาดทุนเงินลงทุนที่เกิดขึ้นครั้งเดียวใน “เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย)” หรือ KEX ชงผู้ถือหุ้นเคาะวงเงินเพิ่มทุน 650 ล้านหุ้น ขายบุคคลในวงจำกัด (PP) รองรับแผนการลงทุน เพื่อขยายกิจการในอนาคต
บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) เปิดเผยผลการดำเนินงานประจำปี 2566/2567 (สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.) ขาดทุนสุทธิจำนวน 5,241.24 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 0.40 บาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 1,836.48 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.14 บาท
บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 24,387 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0% หรือ 248 ล้านบาท จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจาก (1) การเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยรับ จำนวน 1,094 ล้านบาท และ (2) รายได้จากการบริการและการขายที่เพิ่มขึ้น จำนวน 726 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหนุนจากการเติบโตของรายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณา ภายใต้ธุรกิจ MIX และการรับรู้รายได้ค่าโดยสารของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพูเป็นครั้งแรก ควบคู่กับการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ภายใต้ธุรกิจ MOVE
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของรายได้ดังกล่าวถูกหักกลบด้วย การลดลงของรายได้จากการให้บริการรับเหมา จำนวน 904 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสายสีชมพูภายหลังการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์
ด้านค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 24.7% หรือ 4,333 ล้านบาท จากปีก่อนเป็น 21,843 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าและจำหน่ายเงินลงทุนที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวใน บริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) หรือ KEX จำนวน 4,363 ล้านบาท
สำหรับการขาดทุนสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ จำนวน 5,241 ล้านบาทปัจจัยหลักจาก (1) ผลกระทบจากการรับรู้รายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวของผลขาดทุนจากการด้อยค่าและจำหน่ายเงินลงทุนใน KEX (2) การบันทึกส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม (ส่วนใหญ่มาจากแรบบิท โฮลดิ้งส์ ควบคู่กับส่วนแบ่งขาดทุนที่เพิ่มขึ้นจากเงินลงทุนใน KEX) และ (3) ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดี หากหักรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (ซึ่งรวมถึงผลขาดทุนจากการด้อยค่าและจากการจำหน่ายเงินลงทุนใน KEX ) บริษัทรายงานกำไรสุทธิหลังปรับปรุงแล้ว จำนวน 275 ล้านบาท และอัตรากำไรสุทธิ (ก่อนรายการที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ หลังหักส่วนที่เป็นของผู้มีส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุมของบริษัทย่อย) อยู่ที่ 1.2%
คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติ เมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2567 ให้งดการจ่ายเงินปันผล สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.2567 เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ในวันที่ 25 ก.ค.2567 เพื่อพิจารณาและอนุมัติแผนการเพิ่มทุนจดทะเบียนของบริษัทฯ แบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) จำนวนไม่เกิน 2,600 ล้านบาท (หรือประมาณ 4.94% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ) โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 650 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 4 บาท เพื่อเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement)
วัตถุประสงค์ในการเพิ่มทุน เนื่องจากบริษัทฯ มีแผนการลงทุนเพื่อขยายกิจการของกลุ่มบริษัทในอนาคตอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มทุนจดทะเบียนแบบ General Mandate เป็นการเพิ่มความคล่องตัวให้แก่บริษัทฯ จะช่วยให้มีแหล่งเงินทุนที่สามารถใช้ในการรองรับแผนการลงทุนเพื่อขยายกิจการในอนาคตได้อย่างทันกาล โดยบริษัทฯ มีแผนการที่จะนำเงินทุนที่จะได้รับจากการเพิ่มทุนไปใช้ในการลงทุนในโครงการต่าง ๆ เพื่อขยายกิจการของบริษัทฯ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินกิจการของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในอนาคต
ทั้งนี้ จำนวนเงินที่ใช้ในการลงทุนดังกล่าวยังมีความไม่แน่นอน โดยขึ้นอยู่กับโอกาสและความคุ้มค่าของการลงทุนในขณะนั้น ๆ และเมื่อเทียบกับการกู้ยืมเงินแล้วจะไม่ทำให้อัตราส่วนก าไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings per Share) ลดลง