บล.ดีบีเอสฯเชียร์ 23 หุ้นเด่น 7 ธีมเล่นสั้น ลงทุนยาว รอย่อ

HoonSmart.com>>บล.ดีบีเอสฯนำเสนอกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ เน้นเก็งกำไรระยะสั้นก่อน แนะนำ 23 หุ้นเด่น ดอกเบี้ยขึ้นใกล้พีค เชียร์ KPP-TISCO เก็งกำไร MTC  ส่วนราคาก๊าซ-ถ่านหินร่วงแรงต้องมี BGRIM ,GULF ท่องเที่ยวฟื้นแข็งแรงหนุน AOT, BA เงินสะพัดช่วงเลือกตั้งกว่า 1 แสนล้านบาท เชียร์  ADVANC, BBL, CPALL อากาศร้อนจัด BH, BDMS, BCH, CHG, HTC, ICHI, SAPPE เร่งลดก๊าซเรือนกระจก BGRIM, GULF หุ้น Dark Horse-EA, GPSC, NEX ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย BDMS, BH เด่น หุ้น Dark Horse แนะ MASTER ยุคดิจิทัล ความปลอดภัยทางไซเบอร์สำคัญ แนะ BE8, SECURE

น.ส.อาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง “เจาะตลาดหุ้นไทย & เทศ กับเซียนหุ้น & นักวิเคราะห์ชั้นนำ เมื่อวันเสาร์ที่ 22 เม.ย.2566ที่ผ่านมาว่า แนะกลยุทธ์ 7 ธีมเล่นสั้น-ลงทุนยาว ได้แก่ 1.อัตราดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดพีค 2.ราคาก๊าซ-ถ่านหินร่วงลงแรง 3.การท่องเที่ยวฟื้นแข็งแกร่ง 4.เงินสะพัดเดือนเม.ย.-พ.ค.ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ราว 1-1.2 แสนล้านบาท หุ้นเด่น ADVANC, BBL, CPALL 5.สภาพภูมิอากาศแปรปรวน เช่น อากาศร้อนจัด 6.สังคมสูงวัย และ 7.ความปลอดภัยทางไซเบอร์ หุ้นเด่น BE8,SECURE เป็นต้น

“กลยุทธ์เน้นเก็งกำไรระยะสั้นไปก่อน จากปัจจัยหนุน เงินสะพัด และภาคท่องเที่ยวฟื้นตัว ส่วนการลงทุนระยะกลางและยาว แนะรอสะสมจังหวะราคาหุ้นอ่อนตัวลง เพราะตลาดยังเปราะบาง มีความเสี่ยงจากต่างประเทศ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นแบบ K-Shape”น.ส.อาภาภรณ์กล่าว

ปัจจุบันเฟดและกนง.ใกล้ยุติการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย คาดว่าจะปรับขึ้นอีก 1-2 ครั้ง แบงก์เล็ก เช่น ธุรกิจเช่าซื้อ ไฟแนนซ์ได้ประโยชน์ โดยหุ้นพื้นฐานเด่น ได้แก่ KKP,TISCO (ซื้อหลังXD) เก็งกำไร MTC

นอกจากนี้ดอกเบี้ยลงยังเป็นบวกต่อตราสารหนี้ระยะยาว คาดจะปรับลด 0.08% ในปี 2567 และลด 1.2% ในปี 2568 ส่วนแบงก์ใหญ่ไม่ได้อานิสงส์บวกจากดอกเบี้ยขาขึ้น แต่ต้องติดตามปัจจัยลบ ดอกเบี้ยอาจทรงตัวอยู่ในระดับสูงนานกว่าคาด หากเงินเฟ้อลดลงช้า ซึ่งไทยลดลงเร็วกว่าสหรัฐ จึงมีโอกาสยุติการขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วกว่า

ส่วนสถานการณ์ราคาถ่านหินร่วงแรงถึง -62% จากจุด Peak เมื่อเดือนก.ย.2565 ส่วนราคาก๊าซ LNG ในสหรัฐปัจจุบันลดลง -76% จาก Peak เมื่อเดือนส.ค.2565 คาดว่าหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า, วัสดุก่อสร้าง(ซีเมนต์, กระเบื้อง, บรรจุภัณฑ์) จะได้รับประโยชน์ หุ้นเด่นได้แก่ BGRIM, GULF

ด้านนายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า AOT ได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาลใหม่เกี่ยวกับภาคท่องเที่ยว แนวโน้มกำไรฟื้นตัวสูง จากการยกเลิกให้ส่วนลดคู่ค้า มาร์จินสูงขึ้น รายได้จากสัมปทานเพิ่มมากขึ้น หุ้น CPN คาดกำไรสุทธิปีนี้โต 20%  หุ้น AMATA จะได้ประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐบาลชุดใหม่ คาดยอดขายนิคมปีปีนี้และปีหน้าเพิ่มขึ้น มียอด Backlog 6.7 พันล้านบาท คาดการณ์กำไรสุทธิ เติบโต 56% และ 30%

สำหรับหุ้น SIRI คาดปีนี้ ทำสถิติกำไรสูงสุด จากการเปิดขายโครงการใหม่ มูลค่ารวม 7.5 หมื่นล้านบาท และจะบันทึกกำไรขายโรงเรียนนานาชาติ 480 ล้านบาทในปีนี้ หุ้น SC ประมาณการปีนี้เพิ่ม 7% ปีหน้าเพิ่ม 5% กำไรโต ขึ้น จากรายได้ขายคอนโด การให้เช่า และกำไรจากบริษัทร่วม ปีนี้และปีหน้าจ่ายปันผลสูง ยิลด์ 6.2%

หุ้น ADVANC การบริโภคฟื้นตัว การขยายคลื่นความถี่ต่อเนื่อง ตั้งเป้าเข้าซื้อ JASIF และ TTTB สำเร็จในไตรมาสที่ 2 นี้  ธุรกิจปีนี้กระเตื้องจากการยกเลิกแพ็คเกจราคาถูก จ่ายปันผลดี 3.9-4% ต่อปี หุ้น CPALL ได้ปัจจัยผลบวกจากการเลือกตั้ง มีเม็ดเงินหมุนเวียนสูง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อไทย ชะลอตัว รูปแบบธุรกิจบริษัทมีหลากหลาย ทั้งร้านสะดวกซื้อ 7-11 ค้าส่งแมคโคร และ ค้าปลีกเทสโก้ โลตัส แนวโน้มผลกำไรในไตรมาสแรกเติบโตขึ้นเทียบกับปีต่อปี

หุ้น BDMS คาดกำไรสุทธิทั้งปีปีนี้และปีหน้าเติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี ได้ปัจจัยหนุนที่คนไข้ต่างชาติเพิ่มจาก CLMV และ จีน ฐานคนไข้ประกันสังคมมีโอกาสเพิ่มขึ้น

หุ้น STEC รายได้และมาร์จิ้นดีขึ้น มีงานในมือ สูง 1.1 แสนล้านบาท ทำให้การรับรู้รายได้มั่นคงไปใน 3 ปีข้างหน้า คาดกำไรสุทธิปี 2566-2567จะเติบโต หุ้น SAWAD เมื่อมีการเลือกตั้ง ธุรกิจเช่าซื้อคึกคัก ปี 2023F ธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์เป็น key growth driver ตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 25-30% ในปีนี้ส่วนรายได้ Fee เติบโต 30% คาดกำไรสุทธิเติบโต 25%

ด้านนายพงศ์ภัทร สิริพิพัฒน์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า SET50 การปรับตัวขึ้นยังไม่พ้น 970-980 พักฐานลงมา มีแนวรับหลักที่ 940-930 ต้องไม่หลุดต่ำกว่าจึงจะพักฐานสั้น หากหลุดต่ำกว่าจะเปลี่ยนทิศทางเป็นลงระวังการทดสอบ 900 หรือต่ำกว่าได้ ดูที่บริเวณแนวรับเป็นหลัก หากไม่ลงหลุดต่ำกว่าจะเป็นการสร้างฐานทดสอบแนวต้านอีกครั้ง ผ่านได้จะมีแนวต้าน 1,000/1,020 ตอนนี้แกว่งตัวรอการเบรก

ขณะที่ทองคำ เป็นการแกว่งตัวขึ้นทดสอบจุดสุดเดิมที่ 2050-2070 ดอลลาร์ ระยะสั้นหากจะเป็นการแกว่งตัวขึ้นต้องไม่หลุดต่ำกว่า 1975/1950 ดอลลาร์ จะเป็นการพักฐานไม่นานเพื่อรอทดสอบอีกครั้ง ส่วนการลงหลุดต่ำกว่าระวังเป็นการแกว่งตัวลง

ส่วนค่าเงินบาท ทิศทางระยะสั้นเป็นการอ่อนค่าเพื่อทดสอบแนวต้าน 35/35.5 หากยังไม่หลุดต่ำกว่า 34 ยังไม่เปลี่ยนทิศทาง

นายสมนึก จันทร์รัสมี ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์มุมมองทางเทคนิค บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส กล่าวว่า ภาพระยะกลาง สถานะของ SET Index ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ใน“ทิศทางขาลง” จนกว่าจะยืนเหนือระดับ 1,750 จุด  ดังนั้นการปรับขึ้นใดๆที่อยู่ใต้ตัวเลขนี้ จึงมีสถานะเป็นแค่การ “รีบาวด์ทางเทคนิค”เท่านั้น

ระยะสั้น ก็ดูเหมือนว่า SET Index จะสูญเสียภาพของการรีบาวด์ฯไป (จากการที่เคลื่อนตัวที่ต่ำกว่า 1,600 จุด) ซึ่งหากยังไม่สามารถกลับมา“ยืนเหนือ”ระดับดังกล่าว ก็จำเป็นอย่างยิ่งว่าตลาดฯจะลงมาสร้างฐานในตำแหน่ง 1,500 จุดลงมา (หรือ1,450 – 1,400 หรือ ต่ำกว่าได้อีกด้วย)

สำหรับกลยุทธ์การเก็งกำไร กรณี SET INDEX” สูงกว่า 1,600 จุด ให้เน้น ซื้อค่าบวก เพื่อลุ้น/รอขาย ที่แนวต้าน 1,650+/- (หรือไม่เกิน 1,700 จุด) ส่วนกรณี SET INDEXต่ำกว่า 1,600 จุด ให้เน้น“ซื้ออ่อนตัว” โดยเฉพาะกับ“ตำแหน่งที่ 1,500 จุด”ลงมา ซึ่งหมายถึง 1,500, 1,450 – 1,400 (หรืออาจต่ำกว่า 1,400 จุดได้อีก)

นายธนวัฒน์ กล่าวว่า แนะนำ “Overweight” หุ้นเอเชีย โดยปัจจัยบวกคือการเปิดประเทศของจีน การใช้นโยบายหนุนบริษัทกลุ่ม platform และหนุนการบริโภคในประเทศ แต่โดยรวมแล้ว ยังให้ “Neutral” กับหุ้นโลกและหุ้นสหรัฐ เพราะดอกเบี้ยสูงอีกนานเป็นตัวถ่วง ส่วนตราสารหนี้ ยังคง Overweight เนื่องจากอัตราผลตอบแทนหรือ Yield ตราสารหนี้เอกชนเกิน 5% นับเป็นแหล่งสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ ช่วยลดความผันผวนพอร์ต

“แนวโน้มเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจน แต่ราคาตราสารหนี้และหุ้นอยู่ในระดับต่ำแล้ว ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่จะโยกเงินเข้ามาลงทุน โดยแนะนำให้ลดน้ำหนักหุ้นสหรัฐลงเหลือ 50% จาก 56%, เพิ่มยุโรปเป็น 14% (จาก 8%), ลดญี่ปุ่นเหลือ 10% (จาก 12%), เพิ่ม Asia ex-Japan เป็น 26% จาก 24%”นายธนวัฒน์กล่าว

ส่วนธีม เด่น ยกหุ้นในกลุ่ม Cybersecurity ซึ่งถือเป็น ธีมลงทุนระยะยาว ที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ในยุคที่เศรษฐกิจเข้าสู่การเป็นดิจิทัล ทำให้บริษัทต่างๆเพิ่มการใช้จ่ายด้าน Cybersecurity เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการโจมตีทางไซเบอร์ โดยการสำรวจล่าสุดพบว่า ประมาณ 70% ของบริษัท มีแผนเพิ่มค่าใช้จ่ายด้าน Cybersecurity เทียบกับ 55% ในปีก่อนหน้า

โดยแนะนำบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่  ซึ่งได้เปรียบจากฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง นำเทคโนโลยีด้าน Cybersecurity มาต่อยอด ขายให้กับฐานลูกค้าทั่วโลกโดยตลาดเอเชีย แปซิฟิค เป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพเติบโตสูง เพราะมีการใช้ข้อมูลและระบบออนไลน์สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก

ส่วนปัจจัยความเสี่ยงที่ต้องระวังคือความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน, การเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐบาล, การเมืองระหว่างประเทศ, เทคโนโลยี, สภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม