KBANK-SCB ร่วงเกินสำรองหนี้ STARK ลุ้นขอผู้ถือหุ้นกู้ เว้นไม่ผิดนัด

HoonSmart.com>>”สตาร์คฯ (STARK)” ลุ้นระทึก นัดประชุม 28 เม.ย.นี้ ขอผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 1/64 ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี66 (STARK239A) พิจารณาวาระ การยกเว้นเหตุผิดนัด อันเกิดจากส่งงบปี 65 ล่าช้ากว่าที่กฎหมายกำหนด หากไม่ยกเว้นให้ พิจารณาวาระ 2 การเรียกให้หนี้เงินต้น+ดอกเบี้ยภายใต้หุ้นกู้ทั้งหมดถึงกำหนดชำระโดยพลัน ด้านหุ้น 2 แบงก์ร่วง หาก STARK ผิดนัดชำระหนี้จริง คาด KBANK ตั้งสำรองฯ 5 พันล้านหรือ 12% ของกำไรปีนี้  กระทบหุ้นเพียง 2 บาท ส่วน SCB ตั้งสำรองฯ 2 พันล้านบาท 5% ของกำไรปีนี้ มีผลแค่ 60 สต. ด้าน “TOA” แจงไม่เกี่ยว STARK  

วันที่ 20 เม.ย.2566 นักลงทุนถล่มหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กดราคาจมลึกปิดที่ 126  บาทดิ่งลง 5.50 บาทหรือ-4.18% ด้วยมูลค่าการซื้อขายมากถึง  7,285.20  ล้านบาท และหุ้น SCB ปิดที่ 99.75 บาท ลดลง 0.75  บาทหรือ-0.75%  มูลค่าซื้อขาย 3,638.77 ล้านบาท หลังมีข่าวว่า บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น (STARK) ผิดนัดชำระหนี้

แหล่งข่าวจากวงการโบรกเกอร์ เปิดเผย  หากเกิดขึ้นจริง KBANK อาจจะต้องตั้งสำรองฯราว 5,000 ล้านบาท คิดเป็น 12% ของประมาณการกำไรปีนี้ที่ 43,000 ล้าบาท ส่วน SCB หากต้องตั้งสำรองฯประมาณ 2,000 ล้านบาท คิดเป็น 5% ของประมาณการกำไรปีนี้ที่ 42,000 ล้านบาท ซึ่งผลกระทบต่อราคาหุ้น KBANK และ SCB มาก่อนหน้านี้แล้ว

ทั้งนี้ ราคาหุ้น KBANK เคยขึ้นสูงสุด 155 บาท แล้วไหลลงมาต่ำสุดแถว 125-126 บาท ซึ่งปรับตัวลงมาเกือบ 30 บาท ขณะที่ผลกระทบที่ KBANK จะได้รับจาก STARK คิดเป็นแค่ 2 บาท/หุ้น ส่วนราคาหุ้น SCB ปรับตัวลงมา 15-16 บาท จากราคาสูงสุดก่อนหน้านี้ที่ 115 บาท ลงมาเหลือราว 99 บาท ทั้งที่ผลกระทบมีแค่ 0.60 บาท/หุ้น ดังนั้นราคาหุ้น KBANK และ SCB ที่ปรับตัวลงมากเกินไป จึงเป็นจังหวะในการเข้าไปซื้อ

ด้านบล.ทิสโก้วิเคราะห์กรณี  STARK อาจผิดนัดชำระหนี้ธนาคาร ว่า ไม่สามารถวัดความน่าจะเป็นที่ STARK จะผิดนัดชำระหนี้ และยังไม่มีข้อมูลว่าธนาคารใดให้ยืมแก่ STARK และขอเตือนว่าไม่น่าจะมีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าววจากธนาคารต่างๆ อย่างไรก็ตาม การกู้ยืมเงินจากธนาคารของ STARK นั้นมีจำนวนมาก และหากบริษัทผิดนัดชำระหนี้ ก็จะนำไปสู่ค่าใช้จ่ายสำรองจำนวนมากสำหรับกลุ่มธนาคาร

สำหรับ STARK มีเงินกู้ยืมจากธนาคารที่ 8.6 พันล้านบาท  เมื่อสิ้นไตรมาสที่ 3/2565  ในจำนวนนี้ 6.6 พันบาท และ 0.8 พันบาท มีหลักประกันเป็นทรัพย์สินและลูกหนี้ ตามลำดับ ส่วนที่เหลืออีก 1.2 พันล้านบาท เป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน อย่างไรก็ตาม อสังหาริมทรัพย์ที่เป็นหลักประกันเงินกู้ 6.6 พันล้านบาท มีราคาประเมินเพียง 1.7 พันล้านบาท  นอกจากน้ยังสงสัยว่าบัญชีลูกหหนี้จะมีมูลค่าที่มีนัยสำคัญหรือไม่ ในกรณีที่เกิดการผิดนัดชำระ สมมติว่ามูลค่าของทรัพย์สินยังคงอยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท (เป็นมุมมองในแง่ดี) ประเมินว่า ธนาคารที่ปล่อยสินเชื่อจะต้องกันเงินสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 6.9 พันล้านบาท ในกรณีที่ผิดนัดชำระ ซึ่งเท่ากับ 14% ของการตั้งสำรองของกลุ่มธนาคารในไตรมาสแรกปีนี้ และ 34% ของค่าใช้จ่ายการตั้งสำรองของ KBANK และ SCB

ด้านบริษัท STARK ส่งหนังสือเชิญประชุมผู้ถือหุ้นกู้ครั้งที่ 1/64 ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2566 (STARK239A) ในวันที่ 28 เม.ย. นี้ พิจารณาวาระ การยกเว้นเหตุผิดนัด อันเกิดจากส่งงบปี 2565 ล่าช้ากว่าที่กฎหมายกำหนด หากไม่ยกเว้นให้ พิจารณาวาระ 2 การเรียกให้หนี้เงินต้นและดอกเบี้ยภายใต้หุ้นกู้ทั้งหมดถึงกำหนดชำระโดยพลัน ทั้งนี้ มีธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้

บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) หรือ TOA ชี้แจงว่า  วันที่ 20 เม.ย.2566 มีผู้ลงทุนสอบถามเข้ามายังบริษัท เกี่ยวกับกรณีของบริษัท STARKนั้น ขอชี้แจงว่าบริษัทไม่มี หรือเคยมีความเกี่ยวข้องใดๆกับ STARK ทั้งในด้านการลงทุน การถือหุ้น หรือการร่วมบริหารงาน แม้ว่ากรรมการของบริษัทบางท่าน ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการ และ/หรือผู้บริหารของ STARK การดำรงตำแหน่งดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัวและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทแต่อย่างใด

ทั้งนี้ บริษัทในฐานะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้จัดให้มีระบบควบคุมภายในที่บริษัทเชื่อว่าพอเพียงและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการของบริษัทเป็นไปตามกฎหมาย และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง โดยคณะกรรมการตรวจสอบของบริษัทได้กำกับดูแลกระบวนการตรวจสอบภายในอย่างใกล้ชิดและมีการประชุมร่วมกับฝ่ายตรวจสอบภายในของบริษัท อย่างเป็นประจำทุกเดือน และประชุมร่วมกับผู้ตรวจสอบบัญชีทุกไตรมาสและปีบัญชี

นอกจากนี้ ผู้สอบบัญชีของบริษัท ยังไม่มีหรือเคยมีความเห็นหรือข้อสังเกตด้านการควบคุมภายในหรือประเด็นใดที่อาจจะผลต่อสินทรัพย์และหนี้สินของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ และบริษัทฯสามารถนำส่งงบการเงินได้ตรงเวลาทุกไตรมาสและปีบัญชี

ทั้งนี้ นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อันดับหนึ่งของ STARK และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ของ TOA