ผลกระทบของนโยบายหาเสียง รัฐอัดฉีดงบประมาณถึง 3.14 ล้านลบ.

HoonSmart.com>> สถาบัน TRDI วิจัยเรื่องผลกระทบจากนโยบายหาเสียงของพรรคการเมือง ซึ่งส่วนใหญ่เน้นนโยบายประชานิยมแบบให้เปล่า/ไม่มีเงื่อนไข หลายนโยบายสร้างปัญหาในระยะยาว อาจทำให้รัฐต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นถึง 3.14 ล้านล้านบาท  การเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 14 พ.ค.66

• นโยบายหาเสียงส่วนใหญ่เน้นนโยบายประชานิยมแบบให้เปล่า/ไม่มีเงื่อนไข จะใช้งบประมาณภาครัฐสูง สร้างภาระการคลัง และสร้างผลเสียระยะยาว เช่น ลูกหนี้เสียวินัยทางการเงิน แทรกแซงกลไกตลาด บิดเบือนแรงจูงใจในการปรับตัว / ยกระดับผลิตภาพการผลิตระยะยาวของธุรกิจ

งานวิจัยของ TDRI (28 ก.พ. 66) ระบุว่า หลายนโยบายอาจสร้างปัญหาในระยะยาวจากการใช้งบประมาณภาครัฐเกินตัวและการใช้เงินนอกงบประมาณ ซึ่งตรวจสอบได้ยาก โดยนโยบายที่ไม่ซ้ำกันของ 9 พรรคการเมืองอาจต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นถึง 3.14 ล้านล้านบาท เทียบกับงบประมาณของรัฐบาลปี 66 ที่ 3.18 ล้านล้านบาท (ยังไม่รวมเงินนอกงบประมาณ) และหากมีงบประมาณไม่เพียงพอ จนรัฐต้องกู้เพิ่ม จะส่งผลต่อหนี้สาธารณะ (สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ ธ.ค. 65 = 61% / ในช่วงปกติ เพดานหนี้สาธารณะของไทยไม่ควรเกิน 60% ต่อ GDP ตามการกำหนดของคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ แต่ในช่วงโควิด หลายประเทศรวมทั้งไทยได้ขยายเพดานหนี้สาธารณะเพื่อเพิ่มพื้นที่การคลังให้กับรัฐบาล ในการออกมาตรการช่วยเหลือ/เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โดยไทยได้ขยายเพดานไปที่ 70% ต่อ GDP)

• นโยบายที่จะเป็นการเสริมสร้างศักยภาพการเติบโตของประเทศในระยะยาว ควรให้ความสำคัญกับประเด็น
(1) การแก้หนี้อย่างยั่งยืน ต้องทำอย่างครบวงจรและตรงจุด เช่น ปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถของลูกหนี้ /ไม่สร้างภาระเพิ่มให้ลูกหนี้ เช่น พักหนี้ไปเรื่อย ๆ จนทำให้มีภาระดอกเบี้ยเพิ่ม / ไม่ลดโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อ เช่น ลบ/แก้ประวัติสินเชื่อของลูกหนี้ จนสถาบันการเงินไม่รู้จักลูกหนี้และไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ และที่สำคัญ ต้องสร้างรายได้ควบคู่ด้วย

(2) การเพิ่มผลิตภาพ/การลงทุน เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตของไทยในระยะยาวควบคู่ไปกับการเพิ่มรายได้ ทั้งในด้านการพัฒนาทักษะ/คุณภาพของแรงงาน เช่น ปฏิรูปการศึกษาเพื่อให้แรงงานมีทักษะ/คุณสมบัติตรงกับความต้องการของตลาดในอนาคต upskill/re-skill แรงงาน รวมถึงการเพิ่มผลิตภาพการผลิต โดยเฉพาะในภาคการเกษตรที่ยังมีผลิตภาพต่ำกว่าภาคอื่น ๆ เช่น ปรับโมเดลเกษตรให้เหมาะกับพื้นที่ (ปลูกพืชมูลค่าสูง/หรือทำเกษตรผสมผสาน) ใช้เทคโนโลยีในการทำการเกษตร (เช่น smart farming) ซึ่งภาครัฐควรเร่งวางโครงสร้างพื้นฐานด้านเกษตรเพิ่มเติมด้วย เช่น ระบบชลประทาน

(3) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อลดปัญหาความเหลื่อมล้ำและเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เช่น พัฒนาคุณภาพการศึกษา สาธารณสุข คมนาคม รวมไปถึงระบบ social safety net ที่ยั่งยืน ไม่ก่อให้เกิดภาระทางการคลังที่มากจนเกินไป

(4) การวางรากฐานทางเศรษฐกิจเพื่อรองรับกระแสโลกใหม่ เช่น การเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม และการสร้างโอกาสใหม่ ๆ จากนวัตกรรมทางเทคโนโลยี

ทั้งนี้ เพื่อผลักดันนโยบายที่เหมาะสมให้เกิดได้จริงและยั่งยืน ภาครัฐต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน มีความต่อเนื่องในการขับเคลื่อนนโยบาย และกระบวนการใช้จ่ายโปร่งใส ตรวจสอบได้ รวมทั้งบางเรื่องต้องสร้างการมีส่วนร่วมจากภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า พร้อมทั้งต้องรักษาวินัยทางการคลัง (วางแผนแหล่งเงินทุนให้เหมาะสม และคำนึงถึงความยั่งยืนของฐานะการคลังในระยะยาว เช่น ระดับหนี้สาธารณะ)