HoonSmart.com>> “บลจ.ไทยพาณิชย์” มองตลาดหุ้นไทยแข็งแกร่ง คงเป้าดัชนีสิ้นปีนี้ 1,760 จุด มองจังหวะลงทุนช่วงหุ้นไทยปรับฐานแรงจากหลายปัจจัยกดดัน เปิดทางเลือกลงทุนผ่านทริกเกอร์ฟันด์ “SCBTG3” ตั้งเป้าหมายทริกเกอร์ 6% ใน 6 เดือน เสนอขายครั้งแรก 21-27 มี.ค.นี้
นางนันท์มนัส เปี่ยมทิพย์มนัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBAM) เปิดเผยว่า ช่วงที่ผ่านมา SET Index ปรับลดลงมาค่อนข้างมาก จากหลายปัจจัยลบเข้ามากดดัน ให้นักลงทุนเกิดความกังวลต่อตลาดลงทุน อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลงของ SET Index ครั้งนี้ บริษัทฯ มองเป็นความผันผวนที่เกิดขึ้นเพียงระยะสั้น และยังคงเป้าหมาย SET ปลายปีที่ระดับ 1,760 จุด โดยบริษัทฯ มองว่าตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นตลาดลงทุนที่แข็งแกร่ง และมีการเติบโตทางเศรษฐกิจ พร้อมได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเปิดประเทศของจีน และนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวที่เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลายภาคส่วน ทั้งการท่องเที่ยว, ขนส่ง, สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น
บริษัทฯ มองเป็นโอกาสและจังหวะการลงทุนระยะสั้นในการทำกำไรกับหุ้นไทยรายตัวที่มีศักยภาพ พื้นฐานแกร่ง และมีผลการดำเนินงานดี จึงออกแผนเสนอขายกองทุนประเภททริกเกอร์ฟันด์ สำหรับเป็นทางเลือกลงทุนในช่วงที่ราคาหุ้นไทยปรับฐาน ผ่านกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ไทยทริกเกอร์ 3 หรือ SCBTG3 โดยตั้งเป้าหมายการปรับตัวของมูลค่าหน่วยลงทุน (Trigger) อยู่ที่ 6% ภายในระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินของโครงการ เริ่มเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 21 – 27 มีนาคม 2566 นี้ ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท
กองทุน SCBTG3 เป็นกองทุนรวมผสมที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะคัดสรรและพิจารณาหุ้นที่มีโอกาสเติบโตและมีสัดส่วนกำไรต่อหุ้นที่อยู่ในเกณฑ์ดี เพื่อเพิ่มโอกาสการลงทุนให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมาย ทั้งนี้ กองทุนมีเงื่อนไขการทริกเกอร์ที่แบ่งออกเป็น 2 ครั้ง ภายใต้กรอบระยะเวลา 6 เดือน คือ ครั้งที่ (1) กรณี ณ วันทำการใด ที่มูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนมีการปรับตัวมากกว่า/เท่ากับ 10.30บาทต่อหน่วย เทียบเท่า 3% บริษัทจัดการจะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติเพียงครั้งเดียวนับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินของโครงการเป็นกองทุนรวม
ครั้งที่ (2) ในกรณีเข้าเงื่อนไขการเลิกกองทุนโดยหาก ณ วันทำการใดก็ตามเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนมีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.62 บาทต่อหน่วย บริษัทจัดการจะพิจารณารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติในอัตราไม่ต่ำกว่า 10.60 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้ จะทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนภายใน 5 วันทำการนับแต่วันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว และจะชำระเงินค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติภายใน 5 วันทำการนับแต่วันทำการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนโดยอัตโนมัติ โดยบริษัทจัดการขอสงวนสิทธินำเงินไปลงทุนต่อยังกองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ระยะสั้นหรือกองทุนรวมตลาดเงินอื่นที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทจัดการ
อย่างไรก็ตาม หากครบกำหนดระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันจดทะเบียนกองทรัพย์สินของโครงการเป็นกองทุนรวมแล้ว ไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้น บริษัทจัดการจะเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถซื้อ/ขาย/สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการซื้อขายหน่วยลงทุนที่บริษัทจัดการกำหนด จนกว่าจะเข้าเงื่อนไขการเลิกกองตามเงื่อนไขที่ระบุไว้
“ปัจจุบันระดับราคาหุ้นไทย (SET Index) อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยระดับราคา (PE 12 Month forward) ซื้อขายที่ระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี (ที่มา: Bloomberg, วันที่ 15 มีนาคม 2566) อีกทั้ง การเลือกตั้งไทยยังเป็น Event สำคัญที่คาดว่าจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นในระยะข้างหน้า ซึ่งหากเทียบข้อมูลทางสถิติในอดีต จะพบว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้เฉลี่ยประมาณ 6% ทั้งก่อนและหลังในช่วงของการเลือกตั้ง 1เดือน ตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จึงมองว่ามีโอกาสทำกำไรจากตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นได้” นางนันท์มนัส กล่าว