TCAP ไตรมาส 3 กำไร 1.8 พันล้านเติบโต 4.5%

“ทุนธนชาต” ไตรมาส 3 กำไรสุทธิ 1.86 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุน 9 เดือนกำไร 5.82 พันล้านบาท ด้านธนาคารธนชาต กำไร 3.5 พันล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนนับเป็นไตรมาส 15

บริษัท ทุนธนชาต (TCAP) แจ้งผลดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2561 กำไรสุทธิ 1,869.95 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.60 บาท เพิ่มขึ้น 4.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 1,788.43 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.53 บาท ส่วนงวด 9 เดือนปี 2561 กำไรสุทธิ 5,819.61 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 4.99 บาท เพิ่มขึ้น 14.88% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 5,065.68 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 4.35 บาท

กลุ่มธนชาตมีปริมาณเงินให้สินเชื่อจำนวน 737,109 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อน 24,348 ล้านบาท หรือ 3.42% จากการเติบโตของสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อ SME โดยเฉพาะเงินให้สินเชื่อเช่าซื้อที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ด้านเงินรับฝากปรับลดลงจากบัตรเงินฝาก ในขณะที่เงินฝากออมทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนเงินรับฝากกระแสรายวันและเงินรับฝากออมทรัพย์ (CASA) ต่อเงินรับฝากเท่ากับ 48.59% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนที่ 42.92% สินเชื่อด้อยคุณภาพของกลุ่มธนชาต ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.68% จากสิ้นปี 60 ส่งผลให้ อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.52% เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 2.40% อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญทั้งหมดต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) อยู่ที่ 125.04% อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารธนชาตเท่ากับ 19.32%

ทั้งนี้ TCAP ประกอบธุรกิจการลงทุน (Hoding Company) โดยเป็นบริษัทแม่ของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนชาต มีผลการดำเนินงานหลักมาจากธนาคารธนชาตและบริษัทย่อย

ด้านธนาคารธนชาต (TBANK) ไตรมาส 3 ปี 2561 มีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวม 3,540 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน นับเป็นการเติบโตเมื่อเทียบงวดเดียวกันของปีก่อนเป็นไตรมาสที่ 15 ในขณะที่งวด 9 เดือน ปีมีกำไรสุทธิตามงบการเงินรวม 11,140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากธุรกิจหลักที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ด้านสินเชื่อขยายตัว 5.33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต กล่าวว่า “ผลการดำเนินงานของธนาคารและบริษัทย่อยในไตรมาส 3 ปี 2561 ยังคงแข็งแกร่ง มีกำไรสุทธิ 3,540 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้ธนาคารมีภาระภาษีเพิ่มขึ้น เพราะสิทธิประโยชน์ทางภาษีของธนาคารได้หมดไปตั้งแต่ไตรมาสก่อน ดังนั้น หากพิจารณากำไรก่อนภาษีเงินได้ ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรก่อนภาษีเงินได้ในไตรมาสนี้ 4,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.06% จากไตรมาสก่อนหน้าและเพิ่มขึ้นถึง 18.93% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

“สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2561 ธนาคารธนชาตและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 11,140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่งวด 9 เดือน ปีนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรก่อนภาษีเงินได้จำนวน 13,326 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 18.53%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์ของธนาคาร ด้วยการสร้างการเติบโตในธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น จากการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ ซึ่งเติบโต 5.33% Y-Y เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นจากฐานรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ ประกอบกับการลดลงของค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานจากการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ”

“การดำเนินกลยุทธ์ของธนาคารด้วยการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centricity) นั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซึ่งการให้ความสำคัญกับลูกค้ามาเป็นอันดับ 1 นี้ทำให้เราทราบความต้องการของลูกค้า และพัฒนาในด้านต่าง ๆ เพื่อสร้างสรรค์ และออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในการรับบริการต่าง ๆ จากธนชาต จนทำให้ธนาคารสามารถสร้างฐานะทางการเงินเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ส่งมอบผลการดำเนินงานที่มั่นคงอย่างต่อเนื่องให้กับผู้ถือหุ้น อีกทั้งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทริสเรทติ้ง ได้ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของธนาคารที่ระดับ AA- แนวโน้มอันดับเครดิต Stable และฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรภายในประเทศระยะยาวของธนาคารจาก A+ เป็น AA- อีกด้วย” นายสมเจตน์ กล่าว