ITC หุ้นเติบโตสูง เจาะตลาดจีน-สหรัฐทะลุเป้า

HoonSmart.com>>”ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น-ITC” ยันตั้งราคาขาย IPO ที่ 32 ตามปัจจัยพื้นฐาน ราคาต่ำจองเกิดจากนักลงทุนตกใจเกินไป นักวิเคราะห์ยืนเป้าหมายสูง บริษัทยันพื้นฐานแข็งแกร่ง ปีนี้รายได้เติบโต 15-17% ยอดขายโต 2 เท่าของอุตสาหกรรม มาร์จิ้น 25% บริหารค่าเงิน100% บุกตลาดต่างประเทศดีเกินคาด จีนได้พันธมิตรใหม่ขายสินค้าแบรนด์ ITC  ตลาดสหรัฐ ร้านค้าปลีกขยายสาขาเพิ่ม บล.ฟินันเซียฯคาดกำไรปกติปี 66 ที่ 4,740 ล้านบาท เติบโต 16.8% คงราคาเป้าหมายที่ 40 บาท แนะนำซื้อลงทุน

นายพิชิตชัย วงศ์ปิยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (ITC) ผู้นำอุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก โดยเฉพาะอาหารแมวแบบเปียก เปิดเผยถึงสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้น ITC ร่วงต่ำกว่าราคา IPO ที่ 32 บาท ยืนยันว่าไม่ได้เกิดจากการตั้งราคาขายสูงเกินไป แต่เกิดจากปัจจัยภายนอก ซึ่งบริษัทบังคับควบคุมไม่ได้ เช่น นักลงทุนตกใจมากเกินไปถึงผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า และตัวเลขส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทยลดลง โดยนักวิเคราะห์ยังคงใช้เหตุผลในการแนะนำ ไม่มีรายใดปรับลดราคาเป้าหมายลงแต่อย่างใด

ส่วนบริษัทฯยังคงเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐาน และทำตามสัญญาที่ตั้งไว้ได้เป็นอย่างดี โดยในปี 2565 มีกำไรสุทธิ 4,470 ล้านบาทและยอดขาย 21,420 ล้านบาท เติบโตถึง 47.4 % แนวโน้มปี 2566 จะดีอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้ารายได้เติบโต 15-17% จากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 1,200 รายการ ขยายตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น เพื่อการเติบโตถึง 2 เท่าของอุตสาหกรรม มีอัตรากำไรขั้นต้น 25% และอัตรากำไรสุทธิ 20% ทำให้ ITC เป็นหุ้นกำไรเติบโตสูง และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไร

พิชิตชัย วงศ์ปิยะ

สำหรับเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากต่างประเทศเกือบทั้งหมด ก็มีทีมบริหารความเสี่ยงดูแลเรื่อง Hedging ทั้งหมด 100% แม้ว่าไตรมาสที่ 4 จะได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งบ้าง แต่เรื่องค่าเงินจะต้องติดตามดูข้อมูลตลอดทั้งปี ซึ่งในปีที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหลักร้อยล้านบาท ที่สำคัญบริษัทฯไม่มีนโยบายในการเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนเรื่องหนี้สินที่มีดอกเบี้ย ก็ไม่มี หลังจากนำเงิน IPO ไปชำระเงินกู้ระยะสั้นจำนวน 7,416 ล้านบาท และมีเงินเหลือสำหรับการนำไปลงทุน ปีนี้วางงบลงทุนประมาณ 2,100 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปี 2567 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 4,200 ล้านบาท เพื่อสร้างการเติบโต เรื่องต้นทุนที่สูงขึ้น บริษัทมีการบริหารได้เป็นอย่างดี ทำให้ลูกค้าและบริษัทได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตยังไปได้ดี การขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีน สามารถจับมือกับผู้เล่นรายใหม่ในตลาดทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ ในการขายผลิตภัณฑ์แบรนด์ ITC เอง เบื้องต้นจำนวน 20 รายการ จากที่ผ่านมาบริษัทฯเน้น OEM ไม่เน้นแบรนด์ ซึ่งการขยายตลาดเมืองจีนได้ครั้งนี้จะส่งผลดีในระยะยาว เพิ่มสัดส่วนของรายได้  จากสิ้นปี 2564 อยู่ที่ 3.2% มีเป้าหมายเพิ่มเป็น 5.8% ในปี 2568 ปัจจุบันตลาดเมืองจีนโตปีละ 19.8%  บริษัทจะต้องโตปีละ 40% เพื่อเข้าเป้าหมายโตสองเท่าของอุตสาหกรรม เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก

นายพิชิตชัยกล่าวถึงการขยายตลาดสหรัฐอเมริกา ก็เติบโตเร็วกว่าที่คาดไว้ ในปี 2565 โตเร็วที่สุด เนื่องจากผู้ค้าปลีกรายใหญ่ มีการขยายร้านค้าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ซุปเปอร์มาร์เก็ตค่อนข้างพรีเมี่ยมที่นิวยอร์ก น่าจะสั่งออเดอร์เร็วๆนี้ ส่วนที่ยุโรปที่อังกฤษก็มีส่วนแบ่งตลาดที่ดี

” เรื่องราคาหุ้นที่ปรับตัวลง มองเป็นโอกาสซื้อของนักลงทุน จากการปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค. 2565 พบว่า นาย สารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์(GULF) เข้ามาถือหุ้น 20 ล้านหุ้น หลังจากนั้นไม่มีการปิดบุ๊ก ไม่ทราบว่ามีการซื้อเพิ่มหรือไม่ รวมถึงนักลงทุนรายใหญ่ที่เข้ามาซื้อตอน IPO มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร”นายพิชิตชัยกล่าว

ทั้งนี้จากการปิดสมุดวันที่ 6 ธ.ค.2565 มีนายพงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี  ถือหุ้นอันดับ 4 จำนวน 20 ล้านหุ้นเศษ หรือ 0.67% ,  นายสุระ คณิตทวีกุล อันดับ 5 จำนวน 15.10 ล้านหุ้น หรือ 0.50% และนางจารุณี ชินวงศ์วรกุล อันดับ 6 ถือ 10.14 ล้านหุ้น หรือ 0.34% นอกจากนี้ยังมี นายคีรี กาญจนพาสน์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ BTS และนายกวิน กาญจนพาสน์ ลูกชาย ถือหุ้น อันดับ 7-8  รายละ 10 ล้านหุ้น หรือรายละ 0.33%

ล่าสุด คณะกรรมการบริษัทฯมีมติจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.20 บาท คิดเป็นสัดส่วน 98% ของกำไรสุทธิไตรมาสที่ 4/65 หลังจากได้นำกำไรรวมงวด 9 เดือนแรกจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นแล้วทั้งหมด

ด้านนักวิเคราะห์ 5 รายให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 38.30 บาท ต่ำสุด 36 บาทโดยบล.เอเซียพลัส คาดกำไรต่อหุ้นปีนี้ที่ 1.50 บาท กำไรสุทธิ 4,488 ล้านบาท ส่วนบล.กสิกรไทยให้ราคาสูงสุดที่ 40.80 บาท คาดกำไรสุทธิ 4,860.26 ล้านบาท เท่ากับ 1.62 บาทต่อหุ้น โดยทั้ง 5 รายคาดอัตราผลตอบแทนปันผลมากกว่า 2%ต่อปี

บล.ฟินันเซียไซรัส ยังคงมุมมองตามเดิม คาดกำไรปกติปี 2566 ที่ 4,740 ล้านบาท เติบโต 16.8% คงราคาเป้าหมายที่ 40 บาท แนะนำซื้อลงทุน

เมื่อเร็วๆนี้ บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น มีการประชุมกับนักวิเคราะห์  มี 2 คำถามหลักคือ ค่าเงินบาทแข็ง และการเติบโตของรายได้ ซึ่งผู้บริหารยืนยันว่าไตรมาสที่ 4/2565 และไตรมาสที่ 1/2566 ยังคงเติบโตต่อเนื่อง สวนทางตัวเลขส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย

ส่วนเรื่องค่าเงินบาทแข็ง แม้บริษัทมีรายได้เป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐทั้งหมด 100% แต่มีการนำเข้าเป็นดอลลาร์ 30% (Natural Hedging) ส่วนที่เหลืออีก 70% ทำ Hedging ครอบคลุมหมด คาดกระทบกำไรสุทธิจำกัด และกลับจะมีกำไรอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาช่วย

ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 2566 เติบโต  15-17%โดยจะมีการวางแผนคำสั่งซื้อกับลูกค้าไว้ล่วงหน้าก่อน (ปกติมีคำสั่งซื้อล่วงหน้า 6-12 เดือน) ถึงพิจารณาขยายกำลังการผลิตปีนี้ราว 18.7% เพื่อรองรับการเติบโต