HoonSmart.com>>”ศรีตรังโกลฟส์ ( STGT)” แย่ตามคาด ปี 65 ทำกำไรได้ 1,652 ล้านบาท หายวับ 93% จากราคาขายถุงมือยางเฉลี่ยร่วงลง 54% ฉุดไตรมาส 4 ขาดทุน บอร์ดจ่ายเงินปันผล 0.25 บาท ด้าน”ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA)” กำไร 4,795 ล้านบาท ทรุด 69.7% บอร์ดแจกปันผล 1 บาท “คาราบาวกรุ๊ป (CBG)” กำไรลดลง 21% เหลือ 2,286 ล้านบาท เจอต้นทุนวัตถุดิบ-หีบห่อรวมถึงพลังงานเพิ่ม แจกปันผล 0.75 บาท
บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) หรือ STGT ประกาศผลประกอบการประจำปี 2565 มีกำไรสุทธิ 1,652 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหุ้นละ 0.58 บาท ลดลง 93%จากปี 2564 มีกำไรสุทธิ 23,704 ล้านบาท หรือ 8.29 บาท มีอัตรากำไรสุทธิที่ 7.1% หลังจากไตรมาสที่ 4/2565 ประสบปัญหาขาดทุน 38.4 ล้านบาท พลิกจากไตรมาสที่ 3 มีกำไร 21.8 ล้านบาท และไตรมาสที่ 4/2564 มีกำไร 1,839.7 ล้านบาท
ปี 2565 บริษัทฯมีรายได้รวมจากการขายทั้งสิ้น 23,304.8 ล้านบาท รูดลง 51% จากราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 798 บาทต่อพันชิ้น ลดลง 54.1% จากราคาขายเฉลี่ย 1,739 บาทต่อพันชิ้น ส่วนปริมาณขายยังคงเติบโต 5.6% มาอยู่ที่ 28,809 ล้านชิ้น ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดโลก ขณะที่บริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ 64.8% ลดลงจากปีก่อนที่ 87.3%
ทั้งนี้บริษัทฯยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายประเภทผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมการใช้งานของทุกกลุ่มลูกค้า หลังจากประสบความสำเร็จในการขยายตลาดไปมากกว่า 170 ประเทศทั่วโลก
ด้านคณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด) มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.25 บาท/หุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 19 เม.ย.2566 และจ่ายเงินวันที่ 8 พ.ค.2566
ส่วนบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) มีกำไรสุทธิ 4,795 ล้านบาทหรือ 3.12 บาทต่อหุ้น รูดลงแรง 69.7% เทียบกับปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 15,847 ล้านบาทหรือ 10.32 บาทต่อหุ้น เฉพาะไตรมาสที่ 4 มีกำไร 982.9 ล้านบาท ลดลง59.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อน
ในปี 2565 บริษัทฯมีรายได้จากการขายและการให้บริการจำนวน 110,656.7 ล้านบาท ลดลง 6.3% อัตรากำไรขั้นต้น 15,805.7 ล้านบาท ลดลง 58.5% คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้น 14.3% เทียบกับระดับ 32.2% ในปี 2564
คณะกรรมการบริษัทฯมีมติจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 1 บาท/หุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 19 เม.ย.2566 และจ่ายเงินวันที่ 8 พ.ค.2566 ก่อนหน้าได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแล้วหุ้นละ 1 บาท
สำหรับบริษัทคาราบาวกรุ๊ป (CBG) รายงานผลงานปี 2565 มีกำไรสุทธิ 2,286 ล้านบาท เท่ากับ 2.29 บาทต่อหุ้น ลดลง 21%จากปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 2,881 ล้านบาทหรือ 2.88 บาทต่อหุ้น มีรายได้จากการขายรวม 19,215 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% แต่กำไรขั้นต้นลดลง 9% เหลือ 5,633 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ 29% ลดลงจากระดับ 36%
สาเหตุหลักเกิดจากรายได้หลักจากการขายผลิตภัณฑ์ที่บริษัทผลิตด้วยตนเองลดลงมาอยู่ที่ 66% จากระดับ 73% และการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบและหีบห่อที่ใช้ในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะราคาอลูมิเนียม ตลอดจนต้นทุนพลังงานที่ใช้ในกระบวนการผลิตปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ดีบริษัทมีรายได้จากการขายรวม 1.92 หมื่นล้านบาท เติบโต 11% โดยมีรายได้จากการรับจ้างจัดจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกเท่ากับ 5.35 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากประสิทธิภาพการกระจายผ่าน ช่องทางหน่วยรถเงินสด ประกอบกับคุณภาพและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ในขณะที่รายได้ขายอื่นเท่ากับ 807 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากการผลิตและจำหน่ายขวดแก้วที่ใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ให้แก่บริษัทคู่ค้า
คณะกรรมการ CBG อนุมัติการจ่ายปันผลหุ้นละ 0.75 บาท ให้ผู้ถือหุ้นที่มีชื่อในทะเบียนวันที่ 3 มี.ค. 2566 ขึ้น XD วันที่ 2 มี.ค. กำหนดจ่ายเงินวันที่ 12 พ.ค.2566 ก่อนหน้านี้ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.75 บาท รวมทั้งปี 2565 แจกหุ้นละ 1.50 บาท