HoonSmart.com>>หุ้น SVI บวก 3.28% บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 66 ที่ 30,000 ล้านบาท จากแนวโน้มความต้องการลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์เพิ่มขึ้น หลังโชว์ผลงานปี 65 ทำรายได้รวม 25,898 ล้านบาท สูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้ง เติบโตก้าวกระโดด 48.8% และมีกำไรสุทธิ 1,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.3% หนุนกำไรสุทธิต่อหุ้นเพิ่มเป็น 0.82 บาท จาก 0.66 บาทของปีก่อน และจ่ายปันผล 0.26 บาท/หุ้น
เมื่อเวลา 10.34 น.หุ้น SVI บวก 3.28% มาที่ 9.45 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท มูลค่าซื้อขาย 250.67 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 9.55 บาท ขึ้นสูงสุด 10.00 บาท และต่ำสุด 9.30 บาท
นายสมชาย สิริปัญญานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสวีไอ (SVI) เปิดเผยว่า แผนดำเนินงานในปี 66 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายรายได้ 30,000 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มความต้องการลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์เพิ่มขึ้น ทั้งกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์เกี่ยวกับระบบควบคุมอุตสาหกรรม อุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมและเครือข่ายไร้สายและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ยานยนต์ ซึ่งล้วนอยู่ในกระแสเมกะเทรนด์ของโลก ทำให้ฐานลูกค้าเดิมของ SVI มียอดสั่งออเดอร์ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์เพิ่มขึ้น
ประกอบกับแผนลงทุนขยายฐานการผลิตที่ประเทศสโลวาเกีย 2 เท่าตัว จาก 6,000 ตารางเมตร เพิ่มเป็น 11,000 ตารางเมตร ซึ่งขยายแล้วเสร็จในปีที่ผ่านมาและประเทศกัมพูชาอีก 3 เท่าตัว หรือจาก 10,000 ตารางเมตร เพิ่มเป็น 35,000 ตารางเมตรที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 2 ปีนี้ ทำให้ฐานการผลิตดังกล่าวสามารถรองรับกับออเดอร์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ที่เพิ่มขึ้น และรองรับลูกค้าใหม่ที่ต้องการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนเพื่อส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป ทำให้มั่นใจว่าในปีนี้จะทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ภาพรวมผลการดำเนินงานในปี 2565 มีรายได้รวม 25,898 ล้านบาท สูงสุดนับตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งบริษัทฯ เติบโต 48.8% และมีกำไรสุทธิ 1,772 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.3% ส่งผลให้อัตราการทำกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปรับตัวเพิ่มเป็น 0.82 บาทต่อหุ้น หลังจากในไตรมาส 4/2565 (ตุลาคม-ธันวาคม) บริษัทฯ มีรายได้รวม 7,209 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 490 ล้านบาท
ปัจจัยความสำเร็จของผลการดำเนินงานดังกล่าวมาจากฐานลูกค้าที่มีความแข็งแกร่งและศักยภาพการผลิตที่มีความโดดเด่นด้านเทคโนโลยีการผลิตและระบบอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพของโรงงาน SVI ขณะที่ฐานการผลิตในประเทศไทย กัมพูชาและสโลวาเกีย ช่วยสร้างความได้เปรียบเชิงต้นทุนการผลิต ปัจจัยเหล่านี้ทำให้บริษัทฯ ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าสหรัฐ-จีน และการดำเนินนโยบาย Zero Covid ของประเทศจีนซึ่งทำให้เกิด supply disruption อย่างต่อเนื่อง รวมถึงราคาพลังงานที่ปรับตัวขึ้นทั่วโลกจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยใช้ความสามารถด้านการผลิตเข้าไปตอบสนองต่อความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น เพื่อส่งไปจำหน่ายยังตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรปได้อย่างเต็มที่
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566 จึงมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานในปี 2565 ในอัตรา 0.26 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น 559.8 ล้านบาท โดยจะนำเสนอต่อที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้นประจำปี2566 เพื่อขออนุมัติการจ่ายเงินปันผล หลังจากนั้นจะกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 16 พฤษภาคมนี้