PTT กำไรสุทธิปี 65 หด 15.9% จ่ายปันผล 0.70 บ./หุ้น ขึ้น XD 2 มี.ค.

HoonSmart.com>>”ปตท.”(PTT) กำไรสุทธิปี 65 เท่ากับ 91,175 ล้านบาท ลดลง 15.9% จากปี 64 ที่มีกำไรสุทธิ 108,363 ล้านบาท จากธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลงจากต้นทุนก๊าซฯที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก และธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีผลการดำเนินงานลดลงเช่นกัน พร้อมจ่ายปันผล 0.70 บาท/หุ้น ขึ้น XD 2 มี.ค. กำหนดจ่ายปันผล 28 เม.ย.66 รวมทั้งปี 65 จ่ายปันผล 2 บาท/หุ้น

บริษัท ปตท. (PTT) แจ้งว่า ปี 2565 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 91,175 ล้านบาท ลดลง 17,188 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.9 จากปี 2564 ที่ 108,363 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 3.20 บาท ลดลงจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 3.79 บาท

ทั้งนี้ ธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานลดลงจากต้นทุนก๊าซฯ ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก จากการนำเข้า Spot LNG เพื่อรองรับความต้องการใช้ก๊าซฯ ในประเทศ และธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นมีผลการดำเนินงานลดลงเช่นกัน โดยหลักจากธุรกิจปิโตรเคมีที่มีส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบปรับลดลง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปีที่ราคาปิโตรเคมีปรับตัวลดลงจากความกังวลเกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอย รวมถึงในปี 2565 ต้นทุนทางการเงิน ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายผลขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ และผลขาดทุนจากการรับรู้รายการขาดทุนที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำสุทธิ ภาษีตามสัดส่วนของ ปตท. เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2564

นอกจากนี้ เพื่อช่วยเหลือผลกระทบดา้นราคาพลังงานให้แก่ประชาชน ปตท. ได้มีการขยายการตรึงราคาขายปลีก NGV สำหรับกลุ่มรถแท็กซี่ในเขต กทม. และปริมณฑลอยู่ที่ 13.62 บาท/กก. ไปจนถึง 15 มีนาคม 2566 รวมทั้งยังคงตรึงราคาขายปลีก NGV ของรถยนต์ทั่วไปอยู่ที่ 17.59 บาท/กก. ตั้งแต่ 16 ธันวาคม 2565 เป็นต้นไป รวมถึงขยายระยะเวลาการช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มแก่ผู้มีรายได้น้อยที่เป็นร้านค้า หาบเร่ แผงลอยอาหาร ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวนเงิน 100 บาท/คน/เดือน ไปจนถึง 31 มีนาคม 2566 และ ปตท. ร่วมช่วยบรรเทาภาระต้นทุนการผลิตไฟฟ้าให้กับประชาชน โดยมีการสนับสนุนเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นกรณีพิเศษเพื่อช่วยเหลือประชาชนเป็นการเร่งด่วนจากสถานการณ์วิกฤต เป็นจำนวน 3,000 ล้านบาท

พร้อมจ่ายปันผลจากกำไรสะสมให้ผู้ถือหุ้นสามัญ ในอัตราการจ่ายปันผล 0.70 บาทต่อหุ้น โดยวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) 3 มี.ค. 2566 วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 2 มี.ค. 2566 และวันที่จ่ายปันผล 28 เม.ย. 2566

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทมีมติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 2 บาท ซึ่งได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 1.30 บาท เมื่อ ต.ค.65 คงเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายอีกในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท โดยกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และกองทุนวายุภักษ์รับปันผล 36,144 ล้านบาท จากผลการดำเนินงานของ ปตท. และบริษัทย่อยที่มีกำไรสุทธิในปี 2565 จำนวน 91,175 ล้านบาท (คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 3.6%) ลดลงจำนวน 17,188 ล้านบาท หรือร้อยละ 15.9 จากปีก่อน

โดยกำไรสุทธิจำนวน 91,175 ล้านบาท มาจากผลการดำเนินงานของ ปตท. คิดเป็น 17% ซึ่งลดลงจากปีก่อน เนื่องจากผลการดำเนินงานของธุรกิจก๊าซธรรมชาติ ที่มีต้นทุนราคาค่าเนื้อก๊าซฯ ปรับสูงขึ้นมาก และอีก 83% มาจากผลการดำเนินงานของบริษัทในเครือ ปตท. ซึ่งประกอบด้วย ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม 51% ธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน และบริษัทย่อยอื่นๆ 23% กลุ่มธุรกิจน้ำมันและค้าปลีก 8% และธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น 1% ทั้งนี้ ในปี 2565 กลุ่ม ปตท. นำส่งรายได้เข้ารัฐรวมจำนวน 86,395 ล้านบาท ซึ่งรวม เงินปันผล ภาษีเงินได้นิติบุคคลของ ปตท. และภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทในเครือ

นอกจากนี้ ในปี 2565 ที่ผ่านมา กลุ่ม ปตท. มีส่วนช่วยเหลือลดต้นทุนค่าครองชีพด้านพลังงานให้กับประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง ร่วมดูแลสังคมจัดตั้งโครงการลมหายใจเดียวกัน สนับสนุนระบบสาธารณสุขของประเทศจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พร้อมดำเนินโครงการลมหายใจเพื่อน้อง ช่วยเหลือเยาวชนกว่า 60,000 คน ที่เสี่ยงต่อการหลุดจากระบบการศึกษา นอกจากนี้ ยังได้ประกาศเจตนารมณ์ กลุ่ม ปตท. มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 15 ภายในปี 2030 บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2040 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 ซึ่งเร็วกว่าเป้าหมายของประเทศ และพร้อมดำเนินการในทุกมิติเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 ปตท. ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามพันธกิจหลักในการจัดหาและสำรองพลังงานให้ประชาชนและภาคอุตสาหกรรมได้เข้าถึงพลังงานอย่างทั่วถึง ในราคาที่เป็นธรรม พร้อมกับการแสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่และธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนต่อไป