TOP เผยปี’65 กำไร 32,668 ล้านบาท ปีนี้ธุรกิจกลั่น-ปิโตรเคมีดีกว่าก่อนโควิด

HoonSmart.com>>ไทยออยล์ (TOP) เปิดผลงานปี65 มีกำไรสุทธิ 32,668 ล้านบาทรวมกำไรขายหุ้น GPSC 12,880 ล้านบาท รายได้รวม 505,703 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% เฉพาะไตรมาส 4 มีกำไรเพียง 147 ล้านบาท เจอขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 9,178 ล้านบาท ธุรกิจการกลั่นดีขึ้นต่อเนื่อง คาดแนวโน้มปี 66 ธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีจะยังดีขึ้นกว่าช่วงก่อนโควิด บริษัทยังคงเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่ง ต่อยอดธุรกิจใหม่ ก้าวไปสู่เป้าหมายเติบโตที่ยั่งยืน

บริษัท ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2565 มีกำไรสุทธิ 32,668 ล้านบาท หรือกำไรหุ้นละ 15.63 บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 12,578 ล้านบาทหรือ 6.17 บาทต่อหุ้น เฉพาะไตรมาสที่ 4/2565 มีกำไรสุทธิ 147 ล้านบาท เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,033 ล้านบาทและไตรมาสที่ 3/2565 มีกำไรสุทธิ 11.71 ล้านบาท

นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจการกลั่นไตรมาสที่ 4 ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3 ที่ผ่านมา สอดรับกับสภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัว โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัว ทำให้ความต้องการน้ำมันดีเซลและน้ำมันอากาศยานฟื้นตัวดีขึ้น อีกทั้งตลาดสารอะโรเมติกส์ก็ปรับตัวดีขึ้นจากอุปสงค์ของกลุ่มเครื่องนุ่งห่มและบรรจุภัณฑ์ขวดน้ำดื่มที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีรายได้จากการขายจำนวน 123,132 ล้านบาท และมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 11.1 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

อย่างไรก็ตาม ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในจีน ทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง ทำให้บริษัทฯมีขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 9,178 ล้านบาท มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันอยู่ที่ 1.5 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล และกำไรสุทธิ 147 ล้านบาท รวมทั้งปี 2565 มีรายได้รวม 505,703 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  51% จากปี 2564 และมีกำไรสุทธิ 32,668 ล้านบาท ซึ่งรวมกำไรจากการจัดประเภทเงินลงทุนและจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท GPSC จำนวน 12,880 ล้านบาท (หลังหักภาษีเงินได้แล้ว)

นายบัณฑิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมธุรกิจการกลั่นและปิโตรเคมีในปี 2566  คาดว่าจะยังมีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเติบโตและประเทศจีนมีการยกเลิกมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจก็ยังคงมีความไม่แน่นอนเนื่องจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยและคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูง เพื่อควบคุมสภาวะเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ ไทยออยล์ยังคงเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก รวมถึงการต่อยอดไปยังธุรกิจปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ขยายตลาดและกระจายผลิตภัณฑ์ไปสู่ต่างประเทศในระดับภูมิภาค และ แสวงหาโอกาสในธุรกิจใหม่ (New S-Curve) เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้พลังงานในอนาคต ก้าวไปสู่เป้าหมายการเติบโตที่ยั่งยืน

บริษัทไทยออยล์เป็นผู้ประกอบธุรกิจการกลั่นและจำหน่ายนํ้ามันปิโตรเลียมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นโรงกลั่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยมีธุรกิจหลักคือ การกลั่นนํ้ามันปิโตรเลียม ปัจจุบันมีกำลังการผลิต 275,000 บาร์เรลต่อวัน