“บล.คิงส์ฟอร์ด” แนะ CPN-HTC

HoonSmart.com>> บล.คิงส์ฟอร์ด มองแนวโน้ม SET เคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 1,660 จุด แนวต้าน 1,675 – 1,680 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไรหุ้นมีโมเมนตัมดีกว่าตลาด ADVANC, CRC, CPN, MAKRO, MINT พร้อมคัดหุ้นเด่นวันนี้ชู CPN, HTC

บริษัทหลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด มองแนวโน้มดัชนี SET วานนี้หลุด Filter แนวรับที่ 1,670 จุด แต่ยังสามารถฟื้นตัวได้ ดังนั้น SET มีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบแนวรับ 1,660 จุด แนวต้าน 1,675 – 1,680 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไรหุ้นมีโมเมนตัมดีกว่าตลาด เช่น ADVANC, CRC, CPN, MAKRO, MINT

ตลาดหุ้นสหรัฐ DJIA -0.73%, S&P500 -0.88%, Nasdaq -1.02% กลุ่มเทคโนโลยีปรับลดลง หลังเจ้าหน้าที่เฟด 4 ท่านหนุนให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อคุมเงินเฟ้อ กอปรกับ US Bond Yield 30 ปี ปรับขึ้นอยู่ที่ 3.7508% ส่งผลให้ต้นทุนกู้ยืมเงินสูงขึ้น ส่วนรายงานผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 13,000 ราย อยู่ที่ 196,000 ราย สูงกว่าคาด 190,000 ราย และผู้ขอรับสวัสดิการต่อเนื่องเพิ่มขึ้น 38,000 ราย อยู่ที่ 1.688 ล้านราย

ตลาดหุ้นยุโรป Stoxx600 +0.62% ได้แรงหนุนจากกลุ่มอุตสาหกรรม ซีเมนส์ +6.7% รับกำไร Q4 ดีกว่าคาด และ ธ.สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด +11.4% รับข่าวเฟิร์สต อาบู ดาบี แบงก์สนใจซื้อหุ้น

สำหรับหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ CPN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 79.00 บาท) แนวโน้มผลประกอบการ 4Q65 เติบโต YoY ยังมีโมเมนตัมบวกจากปัจจัยหนุนของฤดูกาลจับจ่ายใช้สอยและการท่องเที่ยว ทำให้รายได้ทั้งจากธุรกิจศูนย์การค้า (Traffic / อัตราการเช่าพื้นที่) ธุรกิจอาหาร (ผู้ใช้บริการ) ธุรกิจโรงแรม (อัตราเข้าพัก / ราคาห้องพักเฉลี่ย) และอสังหาฯ (ยอดโอนโครงการเดิม โครงการใหม่) เติบโตจากปีก่อนที่มีผลกระทบจากการล็อกดาวน์ ส่วน 1Q66 ได้รับผลบวกจากช้อปดีมีคืน จีนเปิดประเทศ ส่วนลดค่าเช่ากลับสู่ระดับปกติที่ 3-5%

สำหรับแนวโน้มปี 66 มีแผนการขยายศูนย์การค้าต่อเนื่อง โดยมีแผนเปิด Marche ทองหล่อ ใน 1Q66 และ Central Westville ราชพฤกษ์ใน 4Q66 ส่วนโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค จะทยอยเปิดในปี 67 และแผนการลงทุนใหม่ เซ็นทรัลนครสวรรค์ และเซ็นทรัลนครปฐม เสร็จในปี 68 ตามลำดับ

หุ้น HTC (ซื้อ/ ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 37.00 บาท) ประเมินภาพการดำเนินงานในปี66 จะสามารถฟื้นตัวได้ดีโดยในฝั่งของรายได้มีแรงหนุนจาก Covid-19 คลี่คลาย การกลับมาของนักท่องเที่ยว การปรับราคาสินค้าขึ้น และ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ(ต.ค65)

นอกจากนี้ทางบริษัทเองยังจะมีการเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50%(จาก 58 MPC/ปี เป็น 91 MPC/ปี) ด้านฝั่งมาร์จิ้น คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากต้นทุนที่ผ่อนคลายขึ้น ทั้งต้นทุนเชื้อเพลิง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งนี้ตลาดคาด EPS ปี65 จะอ่อนตัวจากปี 64 ที่ 2.66 บาท/หุ้น มาอยู่ที่ 2.27 บาท/หุ้น, แต่ EPS จะกลับมาฟื้นตัวได้ดีในปี66 ที่ 2.70 บาท/หุ้น ตามลำดับ