“คิงส์ฟอร์ด” มองแนวรับ 1,670 จุด ยืนไม่อยู่แนะลดพอร์ต 10% ชู NETBAY-PR9

HoonSmart.com>> “บล.คิงส์ฟอร์ด” มองแนวรับดัชนีวันนี้ 1,670 จุด หากยืนไม่ได้แนะลดพอร์ตลง 10% ตลาดถูกกดดันจากกำไรบจ.ไตรมาส 4/65 ชะลอตัวลง แนะเก็งกำไร RS, STA, STGT, CH ปัจจัยบวกจากสัญญาณเทคนิค และ PR9, VIBHA หุ้นกลุ่มปลอดภัย พร้อมคัดหุ้นเด่น NETBAY, PR9

บริษัทหลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด วาง Filter แนวรับดัชนีที่ 1,670 จุด กรณียืนไม่ได้แนะนำลดพอร์ตลง 10% โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1,650 – 1,660 จุด แนวต้าน 1,680 จุด โดยดัชนีถูกกดดันจากกำไร บจ. Q4/65 ชะลอตัว YoY แนะนำเก็งกำไร RS, STA, STGT, CH ปัจจัยบวกจากสัญญาณเทคนิค และ PR9, VIBHA หุ้นกลุ่มปลอดภัย

ตลาดหุ้นสหรัฐ DJIA -0.61%, S&P500 -1.11%, Nasdaq -1.68% กลุ่มสื่อสาร, เทคโนโลยีปรับลดลง หลังเจ้าหน้าที่เฟด 2 ท่านหนุนให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเพื่อคุมเงินเฟ้อ ขณะที่ Aplhabet -7.68% หลัง Bard A.I. ตอบคำถามผิดในงานเปิดตัว สัปดาห์นี้ติดตามรายงานกำไร Q4/65 ของ Walt Disney, Uber

หุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ NETBAY (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 30.25 บาท) แนวโน้มผลประกอบการ 4Q65 ขยายตัว QoQ, YoY โดยมีปัจจัยบวกจากการเริ่มรับรู้รายได้โครงการพัฒนา Platform ระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบครบวงจร กับไปรษณีย์ไทย ซึ่งจะทยอยรับรู้ไปจนถึง 1H66 ขณะที่รายได้จากธุรกิจเดิม (ขึ้นกับ Platform ของกรมศุลกากร) จะทยอยดีขึ้นหลังจากจีนเปิดประเทศ ช่วยหนุนปริมาณการนำเข้าส่งออก ส่วนในระยะการง-ยาว คาดว่าได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคดิจิตอล มีโอกาสเสนองานในลักษณะเดียวกันให้แก่หน่วยงานภาครัฐและบริษัทเอกชน ทั้งนี้ตลาดคาดกำไรปี 66 ที่ราว 210 ล้านบาท เติบโต +24%YoY

หุ้น PR9 (ซื้อเก็งกำไร / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 21.50 บาท) ประเมินภาพรวมการดำเนินงานในปี2566 จะยังสามารถเห็นการเติบโตได้ โดยปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศ(โดยเฉพาะคลีนิก IVF ที่เน้นผู้ป่วยชาวจีน) จะสามารถ outweight รายได้ที่เกี่ยวเนื่องกับ Covid-19 ได้ นอกจากนี้กลุ่มผู้ป่วย IPD ของ PR9 ส่วนมากจะเป็นผู้ป่วยกลุ่มโรคซับซ้อนที่มีรายได้ต่อบิลสูงกว่าผู้ป่วย Covid-19 โดยทางผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี66 จะเติบโต Double-Digit และ วางงบลงทุน 500 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจ รวมปรับปรุงพื้นที่อาคาร A ชั้น 1 เพื่อรองรับเฉพาะผู้ป่วยชาวต่างชาติ (คาดเปิดกลางปี66)ทั้งนี้ตลาดคาด EPS ปี65 และ ปี66 ขยายตัวต่อเนื่องจากปี 64 ที่ 0.32 บาท/หุ้น มาอยู่ที่ 0.70 บาท/หุ้น, และ 0.78 บาท/หุ้น ตามลำดับ