ตลท.คาดบจ.จ่ายปันผลเพิ่มขึ้นตามกำไรโต ชี้จังหวะเลือกซื้อหุ้นเข้าพอร์ต

HoonSmart.com>> ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยท่ามกลางเงินเฟ้อสูง บจ.ไทยโชว์กำไรนิวไฮและเติบโตต่อเนื่องหนุนปี 65 ปันผลสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากกำไรดีขึ้นในปี 64 พร้อมคาดการณ์ปี 66 โอกาสจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น ตามกำไรสุทธิเติบโต ชี้ช่องเทศกาลจ่ายปันผลเดือนมี.ค.-พ.ค.นี้ ก่อนประกาศจ่ายเงินปันผลเป็นจังหวะสำคัญคัดเลือกหุ้นปันผล เลือกจังหวะเข้าซื้อหุ้นปันผลเข้าพอร์ตลงทุน”

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกที่อยู่ในภาวะถดถอย อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกอยู่ในระดับสูงส่งผลให้อำนาจซื้อในมือลดลง โดยดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนที่สูงสุดของธนาคารพาณิชย์ในประเทศ อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ คืออยู่ในช่วง 0.20% – 1.90% และจากการพิจารณาผลตอบแทนจากเงินปันผล ณ สิ้นปี ของบริษัทจดทะเบียนไทยในปี 2561 – 2565 พบว่า ในทุกปีที่ทำการศึกษาผลตอบแทนจากเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ (SET) สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน โดยสูงประมาณ 1.3 เท่าของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนที่สูงสุดของธนาคารพาณิชย์ในประเทศ

ณ สิ้นปี 2565 บริษัทจดทะเบียนในบางอุตสาหกรรมให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า 5 เท่าของอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลเป็นทางเลือกหนึ่งการเคลื่อนย้ายเงินออมบางส่วนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น

ขณะที่ในช่วงเดือนมี.ค.- พ.ค.ของทุกปีเป็นเทศกาลจ่ายเงินปันผล ที่บริษัทจดทะเบียนทุกบริษัทจะมีการพิจารณาจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น โดยอ้างอิงผลประกอบการของปีก่อนหน้าหรืองวดของผลประกอบการตามนโยบายการจ่ายเงินปันผล ดังนั้น ในรายงานนี้จึงสรุปสถิติสำคัญเกี่ยวกับกำไรของบริษัทจดทะเบียน การจ่ายเงินปันผล เพื่อเป็นข้อมูลให้นักลงทุนเตรียมตัวในการจัดสรรเงินลงทุนในหุ้นปันผล โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับจังหวะเวลาในการเข้าซื้อหุ้นเข้าพอร์ตของตนเองด้วย

ทั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก เศรษฐกิจไทย ตลอดจนผลประกอบของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย (ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ) โดยจากการศึกษากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนฯ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2555 – 2564) พบว่า กำไรสุทธิรวมทั้งหมดของบริษัทจดทะเบียนไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะได้รับผลกระทบในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19

อย่างไรก็ตาม บริษัทจดทะเบียนไทยมีการปรับตัวตอบรับสถานการณ์อย่างรวดเร็ว กอปรกับราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้กำไรสุทธิในปี 2564 กลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงกว่า 1 ล้านล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่เปิดตลาด และกลับมาสูงกว่ากำไรสุทธิรวมของบริษัทจดทะเบียนไทยก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และเติบโตต่อเนื่องในปี 2565 โดยกำไรสุทธิสำหรับช่วง 9 เดือนของปี 2565 อยู่ที่ระดับ 811,105 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

บริษัทจดทะเบียนไทยจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง โดยในปี 2565 มีการจ่ายเงินปันผลรวมสูงกว่า 645,622 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่สำคัญจากกำไรสุทธิปี 2564 ที่เพิ่มขึ้น โดยเป็นการจ่ายเงินปันผลรวม 846 ครั้ง จากบริษัทจดทะเบียน 564 บริษัท ซึ่งในเดือนพ.ค.2565 มีการจ่ายเงินปันผลมากที่สุดรวม 52.1% ของจำนวนการจ่ายเงินปันผลทั้งหมดในปี 2565 และในแต่ละปีจะมีเทศกาลจ่ายเงินปันผลอีกหนึ่งรอบในช่วงเดือนก.ย.ของทุกปี ซึ่งในเดือนก.ย.2565 มีการจ่ายเงินปันผลรวม 180 ครั้ง หรือประมาณ 21.3% ของจำนวนการจ่ายเงินปันผลในปี 2565

นอกจากนี้เมื่อพิจารณามูลค่าการจ่ายเงินปันผลในปี 2565 ตามหมวดธุรกิจ พบว่า 3 หมวดธุรกิจที่มีการจ่ายเงินปันผลด้วยมูลค่าสูงสุดในปี 2565 ได้แก่ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดธนาคาร หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

“บริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิรวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และคาดว่าจะมีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นตามกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น และคาดการณ์ว่าในปี 2566 จะมีการจ่ายเงินปันผลในช่วงเวลาเดิมของทุกปี คือประมาณเดือนมี.ค.- พ.ค.2566 ดังนั้น ในช่วงเวลาก่อนประกาศจ่ายเงินปันผล เป็นช่วงเวลาสำคัญที่นักลงทุนจะคัดเลือกหุ้นปันผลและเลือกจังหวะเวลาในการเข้าซื้อหุ้นปันผลเข้าพอร์ตการลงทุนของตน เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลตามเป้าหมายที่วางไว้”