HoonSmart.com>>เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ฯ(DELTA) ร้อนแรงตามคาด วันแรกของการใช้บอร์ดล็อต 50 หุ้น แห่ลุยไล่ราคาไฮ 996 บาท วอลุ่มสูงอันดับหนึ่ง 4,034 ล้านบาท พุ่งขึ้น 4 เท่าจากปกติ บล.เมย์แบงก์เตือนเก็งกำไรล้วนๆ มาร์เก็ตแคปเพิ่มวันเดียว 24,947.6 ล้านบาทแตะ 1,209,958.6 ล้านบาท สูงกว่า “ท่าอากาศยานไทย (AOT)” กว่า 159,960 ล้านบาท นายกฯคาดต่างชาติเที่ยวไทยปีนี้เกิน 30 ล้านคน ด้าน “เคซีอี (KCE)” เปิดกำไรปี 65 ที่ 2,317ล้านบาท ลดลง 4.49% เทียบกำไรปีก่อน 2,426 ล้านบาท
วันที่ 7 ก.พ.2566 หุ้นบริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA เป็นพระเอก มีแรงไล่ซื้อตั้งแต่เช้า ผลักดันราคาขึ้นไปสูงสุดแตะ 996 บาท ก่อนมีแรงขายทำกำไร ราคาย่อลงไปต่ำสุดที่ 962 บาท ปิดที่ระดับ 970 บาท บวก 20 บาทหรือ 2.11% ด้วยมูลค่าการซื้อขายมากถึง 4,034.3 ล้านบาท จากปกติเทรดวันละ 1,000 ล้านบาท ราคาที่ปรับขึ้นสวนทางกับภาวะตลาดซึม มีผลต่อดัชนีบวก 2.03 จุด ขณะที่มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) เพิ่มขึ้น 24,947.6 ล้านบาท เป็น 1,209,958.6 ล้านบาท สูงกว่าแชมป์เก่า หุ้นบริษัทท่าอากาศยานไทย (AOT) ถึง 159,960 ล้านบาท ที่มีมาร์เก็ตแคป 1,049,998.95 ล้านบาท
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า วันนี้เป็นวันแรกที่หุ้น DELTA เปลี่ยนหน่วยการซื้อขาย (บอร์ดล็อต) จากครั้งละ 100 หุ้น ลดเหลือ 50 หุ้น เกิดสัญญาณการเก็งกำไรเข้ามามาก ส่งมูลค่าการซื้อขายขึ้นสูงสุดอันดับ 1 ภาพรวมการเปลี่ยนบอรืดล็อตช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการเล่นเก็งกำไร โดยผู้เล่นเข้ามาได้ง่ายขึ้น จากราคาหุ้นที่อยู่ในโซนสูง แต่เล่นเก็งกำไรได้ง่าย ซึ่งก็เปิดความเสี่ยงเช่นเดียวกัน ตอนนี้หุ้น DELTA จัดเป็นขาเก็งกำไรอย่างเดียว ดังนั้นจึงต้องระวังการเล่นเก็งกำไร
“ในแง่ปัจจัยพื้นฐานของ DELTA จัดว่าดี เพียงแต่ราคาหุ้นแพงเกินไปที่ระดับกว่า 900 บาท จึงไม่แนะนำ ตอนนี้เปิดโหมดของการเล่นเก็งกำไรอย่างเดียวเลย คล้าย ๆ กับการแตกพาร์ ที่เหมือนกันตรงที่นักลงทุนสามารถเล่นในราคาไม่แพง ใช้เงินน้อยลงในการเล่น แต่ก็เป็นการเพิ่มความเสี่ยง”
สัญญาณทางเทคนิคแสดงให้เห็นพยายามจะขึ้นไป โดยมีแนวรับ 945 บาท แนวต้าน 990-1,000 บาท
ขณะที่หุ้นที่เคยเป็นแชมป์มาร์เก็ตแคปสูงที่สุดของตลาดหุ้นไทยมานาน บริษัทท่าอากาศยานไทย ( AOT) ราคาปิดที่ 73.50 บาท ลดลง -0.34% มูลค่าซื้อขาย 1,462.19 ล้านบาท มีมาร์เก็ตแคป 1,049,998.95 ล้านบาท หลังจากราคาปรับขึ้นมารับข่าวท่องเที่ยวฟื้น และกำไรปีนี้จะเทิร์นอะราวด์มาพอสมควร โดยนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มั่นใจว่าปีนี้ มีโอกาสที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยมากกว่า 30 ล้านคน จากเดิมที่เคยประมาณการไว้เมื่อต้นปีที่ 20 ล้านคน และเริ่มปรับขึ้นมาเป็น 28 ล้านคน และเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น
ด้านตลาดหุ้นซบเซา ดัชนีปิดที่ระดับ 1,680.49 จุด ลดลง 1.62 จุด หรือ -0.10% มูลค่าซื้อขาย 61,463.79 ล้านบาท เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติขายต่อ 2,685.74 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยซื้อสุทธิ 2,435.30 ล้านบาท
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้แกว่งแคบ คล้ายคลึงกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนลบ หลังเงินไหลชะลอไหลเข้าไทย กลับเข้าไปตลาดแถบเอเชียเหนือ อย่างไต้หวัน, เกาหลีใต้ จากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
“นักลงทุนเลือกเล่นธีม นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทย ทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องต่างปรับตัวขึ้น และเล่นหุ้นในธีมการเลือกตั้งด้วย ส่วนหุ้นในกลุ่มธนาคาร และกลุ่มการเงินเผชิญแรงขายตามกระแสธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่าตลาดคาด หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐดีกว่าคาด พร้อมให้ติดตามความเห็นของประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในคืนนี้ และติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน”นายศราวุธกล่าว
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันพรุ่งนี้ (8 ก.พ.) ตลาดคจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ โดยมีแนวรับ 1,675 จุด แนวต้าน 1,685 จุด
หุ้นอิเล็กทรอนิกส์ ทยอยประกาศผลงานปี 2565 นำโดยบริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ (KCE) มีกำไรสุทธิ 2,317 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 1.96 บาท ลดลงจากปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 2,426 ล้านบาทหรือ 2.06 บาทต่อหุ้น