“จักรพงษ์” ผู้บริหาร JKN ขายบิ๊กล็อต 13.30 บาท สูงกว่ากระดาน

“จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” ผู้บริหาร JKN ขายหุ้นบิ๊กล็อตที่ 13.30 บาทต่อหุ้น ซึ่งสูงกว่าราคาในตลาด จำนวน 4 ล้านหุ้น มูลค่ากว่า 53.20 ล้านบาท ให้ รศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ ผู้ถือหุ้นใหญ่ของกลุ่ม BCH ลงทุนส่วนตัว ไม่กระทบโครงสร้างบริหาร

นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ JKN ผู้นำการจัดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ระดับสากล เปิดเผยว่า ได้ขายหุ้นที่ถือในนามส่วนตัวให้แก่ รศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ เจ้าของและผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH กลุ่มโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ จำนวน 4 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 13.30 บาท หรือคิดเป็นมูลค่า 53.20 ล้านบาท ผ่านกระดาน Big lot เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2561

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2561 ราคาหุ้น JKN ปิดที่ 12.60 บาท ลดลง 0.20 บาท หรือ 1.56% ขณะที่ราคาล่าสุด ณ เวลา 11.41 น. วันที่ 12 ต.ค. 2561 ราคาหุ้น JKN อยู่ที่ 12.80 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท หรือ 1.59%

นายจักรพงษ์ กล่าวว่า การขายหุ้น Big lot ดังกล่าว ไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างการบริหารและแผนยุทธศาสตร์การดำเนินธุรกิจ ที่ JKN มีเป้าหมายต้องการขยายธุรกิจลิขสิทธิ์คอนเทนต์ไปยังภูมิภาคอาเซียน ผ่านคอนเทนต์ประเภทซีรี่ส์อินเดียและซีรี่ส์ฟิลิปปินส์ ที่เป็นคอนเทนต์หัวหอกในการขยายตลาด ขณะเดียวกันยังนำลิขสิทธิ์คอนเทนต์ของไทยไปรุกตลาดต่างประเทศอีกด้วย ส่งผลดีต่อบริษัทที่ต้องการสร้างการเติบโตในระดับ 20-25% ตามเป้าหมายของปี 2561 ได้ตามแผนที่วางไว้

“คุณหมอต้องการเข้ามาลงทุนใน JKN ในนามส่วนตัว เพื่อถือหุ้นในระยะยาว และโดยส่วนตัวแล้วก็ให้ความเคารพนับถือ รศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ เป็นเหมือนอาจารย์ จึงได้ตัดสินใจขายหุ้น Big lot ให้ ซึ่งเป็นการขายครั้งแรกนับตั้งแต่ที่นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ

รศ.ดร.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ (ซ้าย) จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ (ขวา)

รศ.ดร.นพ.เฉลิม กล่าวว่า การตัดสินใจเข้าลงทุนซื้อหุ้น JKN ในครั้งนี้ เนื่องจากต้องการลงทุนระยะยาวใน JKN ซึ่งถือเป็นบริษัทฯ ที่มีศักยภาพการดำเนินธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจาก Content ถือเป็นสินค้าต้นน้ำของสื่อที่ต่างต้องการนำไปใช้เผยแพร่ออกอากาศผ่านได้ทุกแพลตฟอร์ม ทั้งจากสื่อเดิม เช่น ทีวีดิจิทัล และสื่อใหม่ๆ ทางออนไลน์ที่เข้าถึงกลุ่มผู้ชมคนดูไปยังฐานผู้ชมในภูมิภาคอาเซียนที่มีกว่า 660 ล้านคน ที่จะสามารถสร้างรายได้ให้แก่ JKN ได้อีกมาก

“การที่ผมตัดสินใจเลือกเข้ามาลงทุนซื้อหุ้น JKN ในนามส่วนตัวครั้งนี้เพราะมีความมั่นใจในคณะผู้บริหารและลักษณะธุรกิจลิขสิทธิ์คอนเทนต์ ที่ถือเป็นธุรกิจต้นน้ำ ไม่ว่าเทคโนโลยีหรือช่องทางการเผยแพร่จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร แต่หัวใจสำคัญคือยังต้องการ Content นำไปออกอากาศ ดังนั้นการที่ JKN มีลิขสิทธิ์คอนเทนต์ที่หลากหลายและเป็นแบบเอ็กคลูซีฟอยู่ในมือเป็นจำนวนมากทำให้มีความได้เปรียบ ในการนำไปทรัพย์สินดังกล่าวไปต่อยอดสร้างรายได้จากการขยายตลาดจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในภูมิภาคอาเซียน” รศ.ดร.นพ.เฉลิม กล่าว