5 โบรกฯส่องเลือกตั้งเพิ่มพรีเมียมเก็งหุ้นเอี่ยวการเมือง เชียร์ 16 หุ้นเด่น

HoonSmart.com>> 5 โบรกเกอร์ส่องเลือกตั้งหนุนเก็งหุ้นเอี่ยวการเมือง ชูกลุ่มการบริโภคในประเทศจะได้รับประโยชน์สุด แต่พฤติกรรมการเล่นหุ้นเปลี่ยนไป-ไม่ง่ายเหมือนสมัยก่อน มองธุรกิจเติบโตเป็นหลัก ตามด้วยนโยบายทางการเมืองจะส่งให้ใครได้ประโยชน์ แนวโน้มตลาดช่วง 3-4 เดือนข้างหน้าเป็นบวก เป้ากลยุทธ์ 1,700-1,780 หุ้นเด่นธีมเลือกตั้ง คือ KBANK, SCB, ADVANC, INTUCH, SC, AMATA, SIRI, CPALL, MAKRO, KTC, MINT, BEC, TKS, MACO, MAKRO, BJC

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปกติ Electiion rally มักจะเกิดขึ้น 6 เดือนก่อนเลือกตั้ง จากสถิติ 4 ใน 7 ครั้งที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก โดยเฉพาะก่อนเลือกตั้ง 1 เดือนจะเห็นผลตอบทนที่ชัดเจน โดยหุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์เป็นหุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศ อย่างหุ้นในกลุ่มธนาคาร, ค้าปลีก, บันเทิง-สื่อที่จะได้เม็ดเงินโฆษณาเข้ามามากขึ้น รวมถึงกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ตอนนี้ก็เริ่มเห็นการปรับตัวขึ้นแล้ว ซึ่งจะเห็นหุ้นดังกล่าวนี้เคลื่อนไหวได้ดีในช่วงก่อนการเลือกตั่ง จากการใช้งบทำโครงการต่าง ๆ ซึ่งจะเพิ่มกำลังซื้อ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงหนุนการบริโภคในประเทศมากขึ้น

แต่ทั้งนี้รูปแบบการโฆษณาในยุคปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้มองสื่อทีวีไม่ค่อยได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งเหมือนในอดีต แต่สื่อนอกบ้านยังได้ประโยชน์อยู่บ้าง พร้อมเชียร์หุ้น CPALL, MAKRO, BJC เนื่องจาได้รับผลดีจากเศรษฐกิจฟื้น การท่องเที่ยวดีขึ้น และราคาหุ้นยัง Laggard อยู่ ส่วนหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างจะดีหลังการเลือกตั้ง 1 เดือน ส่วนก่อนเลือกตั้งไม่ค่อยดี เพราะโครงการต่าง ๆ จะมีการชะลอ และมีความไม่แน่นอน ดังนั้นการปรับตัวขึ้นของหุ้นในกลุ่มรับเหมาจะขึ้นได้ไม่ดีนัก

นายกิจพณ กล่าวว่า สำหรับหุ้นที่มีความเกี่ยวโยงกับการเมือง ซึ่งก็ถือว่าเป็นการเพิ่มพรีเมียมในการเล่นเก็งกำไร ซึ่งหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองอย่าง SC, SIRI ต่างก็มีแนวโน้มธุรกิจที่ดีอยู่แล้ว พอตลาดมองเป็นหุ้นการเมืองก็เข้ามาเล่นเก็งกำไรกันมากขึ้น แต่ถ้า Outlook หุ้นไม่ดีก็จะไม่ได้รับความสนใจในการเข้ามาเล่นเก็งกำไรเหมือนกัน ส่วนหุ้น TKS แม้จะได้รับผลดีในเรื่องการพิมพ์บัตรเลือกตั้ง แต่นักลงทุนก็เข้ามาเล่นเก็งกำไรกันแค่ชั่วคราว ไม่ได้เก็งกันมาก

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า “การเล่นหุ้นเลือกตั้งไม่ง่ายเหมือนสมัยก่อน พวกที่จะหาเงินก่อนเลือกตั้งก็จะไม่ทำหุ้นของตัวเองหรอก ก.ล.ต.จับตาดูอยู่ ระบบเลือกตั้งเป็นแบบไหน ใครได้ประโยชน์ ดูนโยบายดีกว่า ซึ่งตอนนี้ยังไม่ค่อยออกมากัน“

หากมีการยุบสภาในรอบนี้ ก็เพราะเห็นว่าใกล้หมดเทอม ช่วงนี้จะมีการเล่นหุ้นในกลุ่มรับเหมาฯ จากทิ้งทวนการใช้งบประมาณ แต่หุ้นในกลุ่มค้าปลีกจะดี ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง ส่วนหุ้นการเมืองจะไม่แนะนำให้เล่น แต่เล่นหุ้นควรจะลงทุนระยะยาวให้พิจารณาที่ธุรกิจเป็นหลัก ส่วนผลด้านการเมืองให้มองที่นโยบายแต่ละพรรคการเมืองเป็นอย่างไร ใครได้ประโยชน์ให้มองนโยบายเป็นหลัก อย่างหุ้น SC ของกลุ่มตระกูลชินวัตร, STEC ของครอบครัว”เสี่ยหนู” เป็นต้น ซึ่งหุ้น SC คนเล่นเพราะมีผลงานเติบโตดี และปันผลดี ส่วน STEC ก็มีการเล่นไปตามกลุ่มรับเหมาฯ ส่วนหุ้น TKS ก็เตรียมบัตรเลือกตั้ง ซึ่งก็มีการเล่นตามปัจจัยเฉพาะตัว, หุ้น MACO ก็ดีในแง่ของการใช้ป้ายโฆษณา

“ช่วงเลือกตั้งมองตลาดมีโอกาสเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ รัฐบาลมีการเปลี่ยนทีม ก็ต้องรอดูจะมีโครงการอะไรออกมาและจะไปทางไหน ส่วนใหญ่นโยบายที่ออกมาก็จะเพิ่มค่าจ้าง, ลดภาษี, สร้างนู้นสร้างนี่ ซึ่งนักลงทุนต่างชาติอยากดูว่ารัฐบาลที่เลือกตั้งมาจะมีความยั่งยืนหรือเปล่า และมีนโยบายอะไร ตอนนี้มองว่าพฤติกรรมการลงทุนของนักลทุนเปลี่ยนไปแล้ว”

นายสุนทร ทองทิพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งได้เล่นเก็งกำไรกันไปมากแล้ว ซึ่งพอใกล้ช่วงเลือกตั้งก็คาดว่าจะเข้ามาเล่นเก็งกำไรกันอีกที ดังนั้นตอนนี้ก็มองว่าอย่าเข้าไปไล่ราคาหุ้นกันเลย

“ตอนนี้บรรดาพรรคการเมืองน่าจะมีการเตรียมกระสุนกันไว้พร้อมหาเสียงเลือกตั้งแล้ว อย่างหุ้น SIRI, SC, ADVANC, PR9 ต่างก็ปรับตัวขึ้นไปกันหมดแล้ว อย่าไปไล่เลย”

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ คาดว่า นายกฯ ประยุทธ์จะตัดสินใจยุบสภาภายในปลายเดือนมีนาคมหรือก่อนที่ ส.ส.จะอยู่ครบวาระ 4 ปีในวันที่ 23 มีนาคม และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 45 – 60 วัน ดังนั้น จะเหลือเวลาก่อนการเลือกตั้งอีกประมาณ 3 เดือนเศษ อิงจากการศึกษาความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน, 2 เดือน และ 1 เดือน มักจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกเฉลี่ย +5.6%, +2.5% และ +2.3% ตามลำดับ และมีระดับความเชื่อมั่นโดยเฉลี่ยที่สูงประมาณ 70% % เพราะฉะนั้น แนวโน้มการเลือกตั้งยังเป็นปัจจัยบวกเฉพาะตัวที่สำคัญที่ทำให้ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้านี้ โดยมีเป้าหมายเชิงกลยุทธ์กรณีฐานที่ 1,700-1,720 จุด และกรณีดีที่ 1,750-1,780 จุด

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า การเลือกตั้งใหญ่ปี 2566 น่าจะไม่ช้าไปกว่าวันที่ 7 พ.ค. 66 ในกรณีที่มีการยบุสภาปกติ SET จะตอบรับในเชิงลบแต่รอบนี้ หลายฝ่ายพร้อมเดินหน้าเลือกตั้ง ตลาดไม่น่าจะตอบรับเชิงลบ จากผลการศึกษาคาด SET ตอบรับการเลือกตั้งใหญ่ 2566 ดีกว่าค่าเฉลี่ยผลตอบแทนช่วง 1-3 เดือนก่อนการเลือกตั้ง 5 ครั้งหลังสุดที่ให้ผลตอบแทนราว 2.1%-2.3%

ประเด็นบวกดังกล่าวบวกกับ Upside การปรับเพิ่มกำไรผลบวกของกรณีจีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาดขั้นต่ำที่ราว 2% ต่อกำไรตลาด (อิงรายงาน Strategy Update : China Reopening leads to further upside of market earning) นั้น หมายความว่า โอกาสที่ SET จะเดินหน้าใกล้เคียงเป้าหมายปี 2566 ที่ 1,800 จุด (Forward PER 17X) ยังอยู่ในกรอบทีมีความเป็นไปได้

กลุ่มอิงการบริโภคในประเทศ (BANK,ICT,PROPERTY, FOOD,COMMERCE,FIN และ MEDIA) มัก Outperform ก่อนการเลือกตั้ง, หุ้นที่มัก Outperform SET ก่อนการเลือกตั้ง 1-3 เดือน คือ KBANK, SCB, ADVANC, INTUCH, SC, AMATA, SIRI, CPALL, MAKRO, KTC, MINT, BEC โดยให้ผลตอบแทนตั้งแต่ 3.7-19.3% ด้วยโอกาส 60% ขึ้นไป

ภายหลังการเลือกตั้งจะเข้าส่ชู่วงเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เชิงเศรษฐกิจหลงัไทยเตรียมความพร้อมล่วงหน้า โดยมีการปรับปรุงโครงสร้างต่าง ๆ ทงั้โครงสร้างภาษีโครงสร้างพื้นฐาน (โครงการขนาดใหญ่ที่มีการอนุมัติในช่วง 7 ปีที่ผ่านมากว่า 85% จะทยอยเปิดในสมัยรัฐบาลชุดถัดไป) โครงสร้างรายได้การออมของประชาชนในปัจจุบัน หนุนภาพเศรษฐกิจไทยเติบโตระยะกลาง-ยาวเด่น

ด้านกลยุทธ์ แนะนำหุ้นเด่นในธีมเลือกตั้ง (Election) ได้แก่ KBANK (เป้า consensus 160 บาท), SCB (ราคาเป้าหมาย 130 บาท), ADVANC (ราคาเป้าหมาย 252 บาท), INTUCH (ราคาเป้าหมาย 81 บาท), SC (ราคาเป้าหมาย 4.9 บาท), AMATA (ราคาเป้าหมาย 27 บาท), SIRI (ราคาเป้าหมาย 1.9 บาท), CPALL (ราคาเป้าหมาย 80 บาท), MAKRO (เป้า consensus 52 บาท), KTC (ราคาเป้าหมาย 75 บาท), MINT (ราคาเป้าหมาย 38 บาท), BEC (ราคาเป้าหมาย 11.6 บาท)