HoonSmart.com>>”สิวารมณ์ เรียลเอสเตท” อสังหาริมทรัพย์แนวราบ หุ้นเติบโตสูง กูรู เคาะเป้าขั้นต่ำ 3 บาท พร้อมเทรด 8 ก.พ.นี้
อสังหา ฯ แนวราบ จิ๋ว & แจ๋ว
อสังหาริมทรัพย์แนวราบน้องใหม่ “สิวารมณ์ เรียลเอสเตท” (SVR) ที่เสริฟบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม และอาคารพาณิชย์ ที่มีจุดแข็ง ในแนวความคิด Best Smart Living หรือบ้านสวย ที่เน้นการออกแบบ จัดสรรพื้นที่ การใช้เทคโนโลยี บนทำเลที่มีศักยภาพ การสัญจรสะดวกทั้งทางรถ ทางเรือ รถไฟฟ้าใต้ดิน หรือบนดิน
ด้วยแนวคิดทั้งหมดนี้ ทำให้บ้านของ “สิวารมณ์” อยู่ในระดับลักซ์ชูรี ในราคาที่จับต้องได้ ทำให้โครงการของ “สิวารมณ์” ที่เปิดไปแล้วและปิดขายแล้ว หลายโครงการ สามารถปิดโครงการ หรือปิดการขายภายในเวลาอันรวดเร็วเพียง 3 ปีเท่านั้น ตั้งแต่ก่อสร้างและเปิดขาย
การหมุนโครงการอย่างรวดเร็ว 1-3 ปี ส่งผลดีต่อการดำเนินงานอย่างมาก และเป็นจุดเด่นที่แข็งแกร่งของ “สิวารมณ์” และทำให้บริษัทสามารถเริ่มโครงการใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน มีโครงการทั้งหมด 9 โครงการ แบ่งเป็น 1.โครงการที่ปิดแล้ว 2 โครงการ มูลค่า 957 ล้านบาท , 2.โครงการที่อยู่ระหว่างขายและโอนกรรมสิทธิ์ 6 โครงการ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 2,996 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา 1 โครงการ มูลค่า 686 ล้านบาท
3 จุดเด่นแข็งแกร่ง
นายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท ( SVR) กล่าวว่า โครงการแนวราบของสิวารมณ์ มีการออกแบบที่สวยงาม บนทำเลที่มีศักยภาพ และราคาที่จับต้องได้ ส่งผลให้โครงหลายสามารถปิดการขายได้อยางรวดเร็ว และการเข้าตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ เป็นโอกาสขยายธุรกิจ เพิ่มศักยภาพและโอกาสการต่อยอดพัฒนาโครงการใหม่ ๆ เพิ่มเติมในเขตกรุงเทพ และปริมณฑล ซึ่งหุ้น SVR จึงเป็นหุ้นเติบโตสูง (High Growth) ในระยะยาว
ขณะเดียวกันหุ้น SVR ยังเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนสูง (High Return) เห็นได้จาก 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งประเทศไทยประสบปัญหาเศรษฐกิจ จากการระบาดโรคโควิด-19 แต่ SVR สามารถสร้างการเติบโตของรายได้เฉลี่ยสูงกว่า 30% ต่อปี สวนกระแสเศรษฐกิจ
“รณฤทธิ์” ตั้งเป้าก้าวเป็นหนึ่งในผู้นำพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ แบบ Premium Economy เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมีหัวใจหลักดำเนินธุรกิจ 3 ประการคือ
1.พัฒนาโครงการที่หมุนรอบเร็ว ( Quick turnover ) ใช้กลยุทธ์วิเคราะห์ทำเลตั้งแต่ ในการเลือกซื้อที่ดิน แต่ละโครงการมีขนาดที่ดินต่อโครงการ ไม่เกิน 50 ไร่ จึงสามารถกระจายการพัฒนาโครงการได้ในหลากหลายพื้นที่ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งมีความเหมาะสมกับความต้องการและไม่เกิดอุปทานส่วนเกิน ส่งผลให้โครงการของสิวารมณ์ ขายได้หมดภายใน 1 ถึง 3 ปี ทำให้ SVR สามารถหมุนรอบในการทำการขายได้เร็ว
2. ก่อสร้างเร็ว – ขายเร็ว – ส่งมอบเร็ว ใช้วิธีก่อสร้างด้วยระบบ Precast (พรีคาสท์) เพื่อจะลดระยะเวลาในการก่อสร้าง ทำให้การจ่ายดอกเบี้ยกู้ก่อสร้างมีระยะเวลาสั้นลง ต้นทุนการก่อสร้างของบริษัทฯ ลดลง ส่งผลให้บริษัทมีอัตราการทำกำไรที่ดี ขณะที่ราคาวัสดุก็สามารถล็อกไว้ได้จากจำนวนการก่อสร้างที่มากขึ้น ทำให้บริษัทฯ มีอำนาจในการต่อรองราคาวัสดุกับ Suppliers (ซัพพลายเออร์)
3. “คุ้มค่า” Premium Economy โดยบ้านทุกหลังที่ส่งมอบลูกค้าสัมผัสได้ถึงมีความคุ้มค่า โดยทุกโครงการของ SVR สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริง (Real Demand) ภายใต้ความคุ้มค่าน่าอยู่ เพราะนอกจากระดับราคาบ้านที่จับต้องได้ ในทุกรูปแบบราคา 1 ถึง 7 ล้านบาทแล้ว ผู้บริโภคยังได้ที่อยู่อาศัยในระดับพรีเมียม บนพื้นฐานของราคาบ้านที่ประหยัด และตอบโจทย์ทุก Lifestyle ทุก Generation มากที่สุด
“ การเติบโตแบบ High Growth ด้วยแนวคิดการทำธุรกิจที่แตกต่าง ทั้งการก่อสร้างที่เร็ว การขายที่เร็ว และการโอนที่เร็ว จะส่งผลต่องบการเงินของบริษัทฯที่สะท้อนถึงการหมุนรอบเร็ว (Quick turnover) ได้อย่างดี ขณะเดียวกันบ้านแบบ Premium Economy ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความคุ้มค่าในระดับพรีเมียม กลุ่มลูกค้า Real Demand ที่ซื้อโครงการแล้วบอกต่อ ซึ่งลูกค้า 10-12% ของโครงการ เป็นลูกค้าที่บอกต่อ ส่งผลให้บริษัทเติบโตสวนเศรษฐกิจในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา และมั่นใจว่า ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก เชื่อว่า นักลงทุนที่ลงทุนหุ้น SVR ได้รับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต”
กูรู เคาะเป้า 3 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส เคาะราคาเป้าหมายปี 2566 อยู่ที่ 3 บาท โดยคาดประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 54 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน 6% และคาดปี 2566-2567 คาดผลดำเนินงานจะเติบโตก้าวกระโดด เป็น 186 ล้านบาท เติบโต 241% และ 189 ล้านบาท เติบโต 2% ตามลำดับ หนุนจากยอดโอนที่เร่งขึ้น บนสมมติฐานของบริษัท มีแผนเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการต่อปี และอัตรากำไรขั้นต้น คาดขยับขึ้นจาก Project Mixed โครงการใหม่ที่เป็น Segment บน และ SG&A ต่อรายได้จะลดลงจาก Economy of scale
ขณะที่ บล.พาย ให้ราคาเป้าหมาย 3.1 บาท สะท้อน รายได้จากการโอนโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น จากโครงการเดิมที่มีอยู่ และการเปิดโครงการใหม่ในอนาคต , อัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น จากการเปิดโครงการแนวราบใหม่ที่มีราคาสูงขึ้น ให้ P/E ปี 2566 ที่ระดับ 8.5 เท่า เทียบเคียงค่าเฉลี่ยการซื้อขายของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
ปัจจุบัน โครงการสิวารมณ์ โครงการที่อยุ่อาศัยแนวราบ ในจังหวัดสมุทรปราการ พื้นที่บางปู และเทพารักษ์ ทำเลที่มีการขยายตัวของนิคมอุตสาหกรรม เช่น นิคมบางปู และนิคมพัฒนา-จังหวัดระยอง และพื้นที่อื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อกระจายความเสี่ยงในทำเลที่แตกต่างกัน ได้แก่อำเภอไทรน้อย และอำเภอศรีราชา
ส่วนบล.โกลเบล็ก ให้เป้าปี 2566 ที่ราคา 3.07 บาท ผลดำเนินงานปี 2562-2564 และงวด 9 เดือน 2565 แสดงถึงการเติบโต ซึ่งรายได้หลัก 80-90% มาจากการขายอสังหาริมทรัพย์ ประเมินรายได้การขายในปี 2565 – 2566 ราว 699 ล้านบาท และ 1,245 ล้านบาท เติบโต 26% และ 78% ตามลำดับ คาดกำไรสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 59 ล้านบาท และปี 2566 ที่ 174 ล้านบาท
ความต้องการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพและปริมณฑล ในช่วง 3 ปีข้างหน้า มีแนวโน้มฟื้นตัวจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น ความต้องการที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มดีขึ้นจากกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อในตลาดระดับกลาง-บน โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยเปลี่ยนไป หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่น การทำงานที่บ้าน ทำให้ต้องต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบ มีมากกว่าคอนโด