PTTEP โกยกำไร 70,901ล้าน ปันผลอีก 5 บาท XD 14 ก.พ.

HoonSmart.com>>ปตท.สผ. เผยผลงานปี’65 เติบโตตามแผน เฉพาะไตรมาส 4 มีกำไร 15,610 ล้านบาท ทั้งปีรายได้รวม 339,902 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  32% ปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ย 468,130 บาร์เรล เพิ่มขึ้น 12% ส่วนใหญ่มาจากโครงการในต่างประเทศ เริ่มผลิตโครงการจี 1/61 ลดก๊าซเรือนกระจกสะสมได้กว่า 3 ล้านตัน นำส่งรายได้เข้ารัฐ 62,000 ล้านบาท จ่ายเงินปันผลปีละ 9.25 บาทต่อหุ้น แผนงานปี 66 จัดงบลงทุน 191,818 ล้านบาท ศึกษาหาโอกาสธุรกิจใหม่เพียบ ราคาหุ้นปิดที่ 171.50 บาท ต่ำกว่าเป้าหมายเฉลี่ยของนักวิเคราะห์ให้ที่ 182.64 บาท 

บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ.(PTTEP) เปิดเผยผลการดำเนินงานประจำปี 2565 มีกำไรสุทธิ 70,901 ล้านบาท คิดเป็นกำไรหุ้นละ 17.94 บาท เพิ่มขึ้นจำนวน 32,037 ล้านบาท หรือ เติบโต 82%จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 38,864 ล้านบาทหรือกำไรหุ้นละ 9.70 บาท เฉพาะไตรมาสที่ 4 มีกำไรสุทธิเพียง 15,610 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสที่ 3 ที่ทำได้จำนวน 24,172 ล้านบาท แต่ดีขึ้นกว่าระยะเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรแค่ 3,819 ล้านบาท

นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม กล่าวว่า ผลดำเนินงานในปี 2565 เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยสามารถรักษาระดับต้นทุนต่อหน่วย (Unit Cost) ที่ 28.36 ดอลลาร์ และมีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ย 468,130 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 12% จาก 416,141 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวันในปี 2564  ส่วนใหญ่มาจากการผลิตปิโตรเลียมของโครงการในต่างประเทศ เช่น โครงการโอมานแปลง 61 และโครงการมาเลเซีย แปลงเอช รวมทั้ง โครงการในประเทศ ได้แก่ โครงการจี 1/61 ด้วย ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยในปี 2565 ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก

บริษัทมีรายได้รวม 9,660 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 339,902 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น  32% จากปี 2564 ซึ่งมีรายได้รวม 7,314 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 234,631 ล้านบาท)  โดยในปี 2565 ปตท.สผ. สามารถนำส่งรายได้ให้กับรัฐในรูปของภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่น ๆ ประมาณ 62,000 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น

ปตท.สผ. ได้ดำเนินแผนงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 (Net Zero Greenhouse Gas Emissions by 2050) เพื่อก้าวสู่การเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ โดยในปี 2565 บริษัทสามารถลดก๊าซเรือนกระจกสะสมได้กว่า 3 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าจากปีฐาน 2555 รวมทั้งกำลังพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) ที่โครงการอาทิตย์ ซึ่งขณะนี้ ได้เสร็จสิ้นขั้นตอนการศึกษาทางวิศวกรรมเบื้องต้น (Pre-FEED study) แล้ว และอยู่ระหว่างการออกแบบด้านวิศวกรรม (FEED)  คาดว่าจะตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ได้ปลายปี 2566

“มีแผนจะเริ่มใช้เทคโนโลยี CCS เป็นครั้งแรกในประเทศไทยได้ในปี 2569 ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 700,000 – 1,000,000 ล้านตันต่อปี บริษัทกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการ CCS ในบริเวณพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทย รวมทั้งในประเทศที่ ปตท.สผ. มีพื้นที่ปฏิบัติการด้วย เช่น ประเทศมาเลเซีย”

นอกจากนี้ ปตท.สผ. ยังมุ่งมั่นในการนำก๊าซเผาทิ้งจากกระบวนการผลิตปิโตรเลียมกลับมาใช้ใหม่ ควบคู่ไปกับการนำพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดมาใช้ในพื้นที่ปฏิบัติการมากขึ้น อาทิ การติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่โครงการอาทิตย์ โครงการเอส 1 และฐานสนับสนุนการพัฒนาปิโตรเลียม ปตท.สผ. ที่จังหวัดสงขลา และกังหันลมที่โครงการอาทิตย์ เป็นต้น รวมถึง ดำเนินโครงการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Offsetting) อย่างต่อเนื่อง ด้วยการปลูกป่าทั้งป่าบกและป่าชายเลน เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการดูดซับก๊าซเรือนกระจก

สำหรับแผนงานปี 2566 บริษัทได้ตั้งงบประมาณการลงทุนจำนวน 5,481 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สรอ. (เทียบเท่า 191,818 ล้านบาท) เพื่อรองรับแผนการดำเนินงานต่าง ๆ ได้แก่ การเพิ่มปริมาณการผลิตปิโตรเลียมจากโครงการผลิตหลักที่สำคัญ ได้แก่ โครงการจี 1/61 โครงการจี 2/61 โครงการอาทิตย์ โครงการคอนแทร็ค 4 โครงการเอส 1 และโครงการผลิตในประเทศมาเลเซีย การเร่งผลักดันโครงการหลักที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา ได้แก่ แหล่งลัง เลอบาห์ ในโครงการมาเลเซีย เอสเค 410 บี และโครงการโมซัมบิก แอเรีย 1 รวมถึง การเร่งการสำรวจในโครงการต่าง ๆ ในประเทศไทย มาเลเซีย และโอมาน นอกจากนี้ ยังได้สำรองงบประมาณ จำนวน 4,800 ล้านดอลลาร์ สรอ. (เทียบเท่า 166,052 ล้านบาท) สำหรับช่วง 5 ปี (2566 – 2570) เพื่อขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ รองรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน

ขณะนี้ บริษัทอยู่ในระหว่างการศึกษาและพัฒนาธุรกิจใหม่ต่าง ๆ เช่น ธุรกิจไฟฟ้า ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจ CCS ธุรกิจการดักจับคาร์บอนและการใช้ประโยชน์ (Carbon Capture and Utilization หรือ CCU) ธุรกิจไฮโดรเจนสะอาด รวมทั้ง การต่อยอดเทคโนโลยีที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่ไปสู่ธุรกิจเชิงพาณิชย์

นายมนตรีกล่าวว่า ปตท.สผ. กำลังเร่งเพิ่มปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติในโครงการจี 1/61 ซึ่งในปีที่ผ่านมา ปตท.สผ. ได้เสร็จสิ้นการติดตั้งแท่นหลุมผลิต (Wellhead platform) จำนวน 8 แท่นเป็นที่เรียบร้อย และในปีนี้ จะติดตั้งแท่นหลุมผลิตเพิ่มอีก 4 แท่น วางท่อใต้ทะเล และเตรียมแท่นขุดเจาะ (Rig) 6 แท่น เพื่อเร่งเจาะหลุมผลิตเพิ่มเติมอีก 273 หลุม ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลิตก๊าซฯ เพิ่มขึ้นเป็น 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในช่วงกลางปีนี้ และเพิ่มเป็น 600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในช่วงปลายปี คาดว่าในเดือนเม.ย.2567 อัตราการผลิตก๊าซฯ จะขึ้นมาอยู่ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ในขณะเดียวกัน ปตท.สผ. ได้เพิ่มอัตราการผลิตก๊าซฯ จากทุกโครงการในอ่าวไทย ได้แก่ โครงการบงกช โครงการจี 2/61 โครงการอาทิตย์ และโครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่อต้นทุนทางพลังงานให้กับประชาชน

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวเพิ่มเติมว่า ปตท.สผ. กำลังมองหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ รองรับการเปลี่ยนผ่านของธุรกิจพลังงาน เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต ควบคู่ไปกับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อเป้าหมายการเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ เช่น การลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียน พลังงานรูปแบบใหม่ และนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยได้จัดตั้งบริษัทย่อยต่าง ๆ เพื่อรองรับการลงทุนดังกล่าว เช่น บริษัท เอ็กซ์พลอร์ เวนเจอร์ส (Xplor Ventures) ในรูปแบบ Corporate Venture Capital (CVC) เพื่อลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพ (Startup) ที่มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เป็นต้น

ด้านคณะกรรมการบริษัทฯมีมติอนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2565 ที่ 9.25 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ ปตท.สผ. ได้จ่ายไปแล้วในอัตรา 4.25 บาทต่อหุ้น ส่วนที่เหลืออีก 5 บาทต่อหุ้น จะกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 15 ก.พ. 2566 และขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 14 ก.พ. 2565 กำหนดจะจ่ายในวันที่ 24 เม.ย. 2566 ภายหลังได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2566 แล้ว

ราคาหุ้น PTTEP ปิดที่ 171.50 บาทลดลง 0.50 บาท วันที่ 30 ม.ค.2566 โดยนักวิเคราะห์ 15 ราย ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 182.64 บาท จากราคาต่ำสุดที่ 163 บาท และสูงสุด 206 บาท ภายใต้คำแนะนำผสม ทั้งซื้อ ขาย ถือ และเทรดดิ้ง