SCC เพิ่มโอกาสโตแข็งแกร่งจากวิกฤต ขอดูสถานการณ์ก่อนไอพีโอ SCGC

HoonSmart.com>>”ปูนซิเมนต์ไทย-SCC” ลั่นผลดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดแล้ว ปี’65 กำไรหดตัวถึง 55% เหลือแค่ 21,382 ล้านบาท เฉพาะไตรมาส 4 กำไรเพียง 157 ล้านบาท ดิ่งลง 94% หลังเจอ”วิกฤติซ้อนวิกฤติ” ถือโอกาสลดต้นทุน ใช้เชื้อเพลิงทดแทนเพิ่มเป็น 34% ตอนนี้เห็นสัญญาณดีขึ้น แนวโน้มโตแข็งแกร่งจากความสามารถคว้าโอกาสทางธุรกิจเมกะเทรนด์ ยกความมั่นคงทางการเงินสำคัญมากที่สุด ปีนี้ตั้งงบลงทุน 40,000-50,000 ล้านบาท คาดรายได้โต 10% กลางปีโครงการใหญ่ปิโตรในเวียดนามเดินเครื่องผลิต ส่วนการส่ง SCGC เข้าตลาดหุ้นในปีนี้หรือไม่ ขอรอดูสถานการณ์ก่อน

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) แถลงผลการดำเนินงานว่า ในปี 2565 มีรายได้รวม 569,609 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% แต่มีกำไรสุทธิลดลง 55% เหลือจำนวน  21,382 ล้านบาท เฉพาะไตรมาสที่ 4 มีกำไรเพียง 157 ล้านบาท หดตัวถึง 94% เทียบกับไตรมาสที่ 3 เพราะต้นทุนเพิ่ม ขณะที่ลูกค้ามีความต้องการสินค้าลดลง หากไม่รวมการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ รายการด้อยค่าสินทรัพย์และรายการพิเศษอื่นๆ จะมีกำไร 1,070 ล้านบาท ลดลง 66% ถือเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 14-15 ปีนับจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ที่ปีนั้นประสบปัญหาขาดทุน ครั้งนี้เป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติที่เผชิญทั้งเศรษฐกิจจีนชะลอตัว วัฎจักรปิโตรเคมีขาลงครั้งใหญ่สุดในรอบ 20 ปี  ต้นทุนพลังงานพุ่งขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม บริษัทฯได้ใช้วิกฤตเป็นโอกาส  เช่น การลดต้นทุน และเปลี่ยนเป็นพลังงานสะอาด เพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงทดแทนเป็น 34% จาก 26% ในปี 2564 และใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 194 เมกะวัตต์ เพิ่มขึ้นจาก 130 เมกะวัตต์ โดยสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ 3 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ ขณะเดียวกันยังสามารถคว้าโอกาสทางธุรกิจที่จะให้ไปได้อย่างแข็งแกร่ง การพัฒนาสินค้าและธุรกิจใหม่ เพื่อให้ทันกับความต้องการของลูกค้า อาทิ สินค้ากรีน  แอปเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ บางธุรกิจแม้ไม่ได้ลงทุนโดยตรง แต่เข้าไปอยู่ใน supply chain  ปัจจุบันกำลังพัฒนาเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนในอากาศและใช้ประโยชน์

“ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้น เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น ตลาดอาเซียนก็ดีขึ้นจากการเปิดประเทศของจีน ราคาถ่านหินในตลาดโลกลดลง เงินเฟ้อเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว  เรามั่นใจว่ามั่นใตว่าผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไปแล้ แต่ยังไว้วางใจไม่ได้ เราจะก้าวไปข้างหน้า ฐานต้องแข็งแรงก่อน ให้ความสำคัญมากที่สุดในเรื่องความมั่นคงทางการเงินและสภาพคล่อง การใช้ประโยชน์จากการใช้เงินให้เหมาะสม พิจารณาลงทุนตามกลยุทธ์อย่างรอบคอบ ส่งผลให้เงินสดคงเหลือแข็งแกร่งอยู่ที่ 95,000 ล้านบาท เรื่องคนที่นำพาองค์กรให้พ้นวิกฤตก็เป็นเรื่องสำคัญ จะทำอย่างไรที่จะรักษาคนที่มีศักยภาพไว้ได้  Cash เปรียบเสมือนเป็นเส้นเลือด คนเป็นกล้ามเนื้อ ถึงจะเดินไปได้”นายรุ่งโรจน์กล่าว

ส่วนการลงทุนในปี 2566 ตั้งงบไว้ประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนในโครงการปิโตรเคมีครบวงจร (LSP) ประเทศเวียดนามประมาณ 50% และที่เหลืออีกราว 50% ใช้สำหรับโครงการอื่นๆ ที่จำเป็น  ทั้งนี้โครงการ LSP จะต้องแล้วเสร็จคาดว่ากลางปีจะเริ่มสร้างรายได้ แต่จะเท่าไร ต้องดูราคาปิโตรในตอนนั้นว่าเป็นอย่างไร โดยรวมส่งผลให้รายได้ทั้งปีเติบโต 10%

นายรุ่งโรจน์กล่าวถึงการนำบริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ (SCGC) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ยังอยู่ระหว่างพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยขอรอดูสถานการณ์ก่อน บริษัทมีระยะเวลา  1 ปี หลังจากได้รับอนุมัติไฟลิ่งเมื่อวันที่ 5 ต.ค.2565  หากสถานการณ์เอื้ออำนวย ก็พร้อมที่จะเสนอขายหลักทรัพย์

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม  รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย กล่าวว่า วิกฤติต้นทุนพลังงานทั้งถ่านหินและค่าไฟที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก  เอสซีจี ได้รุกธุรกิจพลังงานสะอาด โดยมีขนาดกำลังการผลิต 234 เมกะวัตต์ในปี 2565  เพิ่มขึ้น 78% จากปีก่อน ด้วยระบบเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) สำหรับนิคมอุตสาหกรรม เครือข่ายโรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม โรงพยาบาล ล่าสุดติดตั้งให้กับกลุ่มสหยูเนี่ยน บางปะกงไปแล้ว เชื่อมโยงพลังงานสะอาดระหว่าง 10 บริษัท ช่วยลดต้นทุนพลังงาน 30% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 3,670 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี ซึ่งธุรกิจนี้ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญด้านพลังงานสะอาดของเอสซีจี เพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนพลังงานที่เพิ่มขึ้น ตามการปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานในตลาดโลก

คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้จายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานในปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 8  บาทคิดเป็นประมาณ  45% ของกำไรสุทธิ โดยจ่ายเงินระหว่างกาลครึ่งปีแรกไปแล้ว 6 บาท คงเหลือ  2 บาท กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) ในวันที่ 10 เม.ย. 2566 ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล 7 เม.ย. 2566 และจ่ายปันผลในวันที่ 25 เม.ย. 2566