HoonSmart.com>>บล.หยวนต้ามองเป็นปีกระต่ายทอง โอกาสสร้างกำไรจาก ‘หุ้น-ค่าเงิน’ตลาดเกิดใหม่ บอนด์สหรัฐ ทองคำ มองหุ้นไทยสดใสจากเศรษฐกิจโตเร่งตัว 3.8% ฟันด์โฟลว์เข้าต่อเนื่องอีก 1 แสนล้าน ลุ้นกองทุนพลิกมาซื้อ เลือกตั้งหนุนดัชนีสิ้นปี 1,800 เงินบาทแข็ง บริเวณ 31.5 ต่างชาติมองเป็นจังหวะขายหุ้น ชูกลยุทธ์เทรดตามแนวโน้มตลาด ไตรมาสแรกดี เน้น domestic หุ้นปันผลสูง ไตรมาส 2 เสี่ยงปรับตัวลง จังหวะเก็บกลุ่มพลังงาน ครึ่งปีหลังดี เชียร์ซื้อ ADVANC,BBL,BJC,GPSC,JWD,MAKRO,TISCO ส่วน MTC, SAWAD, KBANK, TTB, RATCH, PTTGC กำไรสูง แต่มูลค่ายังไม่มา
นางบุญพร บริบูรณ์ส่งศิลป์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) กล่าวเปิดงานสัมมนาใหญ่ของหยวนต้า 2023 Year of 3 RE “Recession Rebalance Reborn” ที่หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น 7 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2565 โดยนายภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) พร้อมทีมกลยุทธ์ นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน และนายจารุชาติ บูชาชาติ คาดการณ์แนวโน้มการลงทุนในปี 2566 ว่า จะเป็นปีกระต่ายทอง ราคาสินทรัพย์ต่างๆจะสร้างโอกาสในการทำกำไร ทั้งหุ้นในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงค่าเงิน โดยเฉพาะเงินเยน ทองคำและพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ คาดว่า Dollar Index และ Bond Yield มีแนวโน้มอ่อนค่า ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็ง มีโอกาสถึง 31 บาท/ดอลลาร์
ส่วนตลาดหุ้นไทยได้รับผลดีจากเศรษฐกิจโต 3.8% จากปีที่ผ่านมาเติบโต 3.2% คาดนักท่องเที่ยวเข้ามา 21 ล้านคน ซึ่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) มองว่าไทยและจีนยังคงเติบโตในอัตราเร่ง ส่วนเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง คาดว่าเม็ดเงินต่างประเทศจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องอีก 1 แสนล้านบาท จากปีที่ผ่านมาเข้ามาซื้อสุทธิประมาณ 2 แสนล้านบาท เพราะในช่วงโควิดเงินไหลออกกว่า 3.1 แสนล้านบาท ขณะเดียวกันนักลงทุนสถาบัน เช่นกองทุนที่ขายออกไปมากในปีที่ผ่านมา ต้นปีนี้ยังขายต่อ จะพลิกกลับมาซื้อสุทธิ
“ปีนี้เป็นปีกระต่ายทอง ตลาดจะกระโดดขึ้นกระโดดลง จะมีรอบของการลงทุน ดังนั้นกลยุทธ์จะต้องเทรดหุ้น เคลื่อนไหวตามแนวโน้มตลาด ไม่ใช่กลยุทธ์ซื้อเพื่อถือลงทุนยาว รวมถึงต้องปรับพอร์ตลงทุนตามราคาสินทรัพย์ต่างๆ ”
บล.หยวนต้าคาดว่าในไตรมาสแรก ตลาดหุ้นยังคงปรับตัวขึ้นดี จากฤดูกาลบจ.แจ้งกำไร-เงินปันผล,เข้าใกล้ช่วงเลือกตั้ง เน้นหุ้น domestic การเปิดประเทศของจีน เป็นคีย์สําคัญของเศรษฐกิจในอาเซียน ส่วนในไตรมาสที่ 2 จะต้องระวังตลาดผันผวนหรือปรับตัวลง เนื่องจากสหรัฐและยุโรปเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาส 1 อาจก่อให้เกิดความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถกถอย รวมถึงมีผลทางจิตวิทยาที่มี Sell in may และเริ่มเก็บภาษีขายหุ้น มองเป็นจังหวะในการซื้อหุ้นพลังงานเมื่อราคาปรับตัวลงมามาก
แนวโน้มไตรมาสที่ 3 ตลาดจะฟื้นตัว บนความหวังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสลดการตึงตัวนโยบายการเงิน เพราะมีการหมุนเวียนสมาชิกโหวตอัตราดอกเบี้ยปีนี้โดยเฟดจะเริ่มกลับทิศทางการดําเนินนโยบายการเงิน (Fed Pivot) ตลาดคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50%กลับสู่ระดับ 4.25-4.50% ในช่วงปลายปี รวมถึงบรรยากาศการลงทุนผ่อนคลาย มีเงินปันผลจูงใจ ,ช่วงไฮซีซั่นท่องเที่ยว ส่งผลให้ดัชนีหุ้นสิ้นปีอยู่ที่ 1,720 จุด และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นส่งผลให้มีแรงเก็งกำไรหนุนดัชนีมีโอกาสถึง 1,800 จุด
“ไตรมาสที่ 1 จะเป็นไตรมาสที่ลงทุนง่ายที่สุด ฟันด์โฟลว์ที่เข้ามาแน่นอน เพราะได้กำไรทั้งราคาหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยน แต่ต้องระวังเงินบาทที่แข็งค่าบริเวณ 31.5 บาท ต่างชาติอาจจะมองเป็นจังหวะขายหุ้นออกในช่วงนั้น ส่วนการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น เมื่อปี 2562 มีเงินเข้ามามาก และจากสถิติ 10 ปีที่ผ่านมา หากมีการประกาศวันที่เลือกตั้ง จะต้องซื้อหุ้น 2 สัปดาห์ก่อนและหลังเลือกตั้ง จะได้รับผลตอบแทนดีที่สุด การลงทุนในปัจจุบัน ตลาดมองไปข้างหน้า นักลงทุนจะต้องติดตามข่าวสารและข้อมูลการลงทุน เพื่อปรับพอร์ตให้ทันสถานการณ์ ”
สำหรับธีมการลงทุนในปีนี้ เน้นหุ้นได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการบริโภค รวมถึงได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของกนง. Dollar Index และ Bond Yield มีแนวโน้มอ่อนค่า และ Defensive เพื่อรองรับความผันผวนของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก แนะนำซื้อ 7 หุ้นเด่น ได้แก่ ADVANC,BBL,BJC, GPSC,JWD, MAKRO และ TISCO
ในส่วน ADVANC ให้ราคาเป้าหมาย 240 บาท เนื่องจากกลุ่มสื่อสารราคายังไม่แพง ต่ำกว่าก่อนโควิด 20% ขณะที่รายได้จะเติบโตเมื่อนักท่องเที่ยวกลับมา เทียบกับค่าใช้จ่ายคงที่ ส่งผลให้กำไรโต ยังไม่รวมโอกาสจากการได้ใบอนุญาตธนาคารไร้สาขา และมีเงินปันผลที่ดี ส่วน BBL ให้เป้าหมาย 175 บาท ภาคเอกชนกลับมาลงทุน ส่งผลดีต่อสินเชื่อธุรกิจ และ TISCO ให้มูลค่า 116 บาท จ่ายเงินปันผลปีละ 1 ครั้ง ประกาศจ่ายปลายเดือนมี.ค. และจ่ายเดือนเม.ย. คาดอัตราผลตอบแทน 7% ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นในเดือนม.ค.จนถึงจ่ายเงินปันผล
นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยในปี 2566 จะกลับมาสูงกว่าระดับก่อนโควิด-19 จะทําให้กําไรของบริษัทจดทะเบียนหลายๆบริษัท สูงกว่าปี 2562 ขณะที่หุ้นบางตัวผล
ประกอบการฟื้นแล้ว แต่มูลค่าของบริษัทฯยังไม่ฟื้นตาม เช่น MTC, SAWAD, KBANK, TTB, RATCH, PTTGC