WAVE พลิกโฉมธุรกิจครั้งสำคัญ 2566 ลุยคาร์บอนเครดิต ครบวงจร

HoonSmart.com>>WAVE  ปี 2566 พลิกโฉมใหญ่ครั้งสำคัญ รุกสู่ธุรกิจคาร์บอนเครดิตครบวงจร ปักธง เป็นผู้นำถือครองคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  คาดหวังผลประกอบการปีนี้เทิร์นอะราวด์

เจมส์ แอนดริว มอร์

 

นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ (WAVE) เปิดเผยว่า ปี 2566  บริษัท ฯ ได้ปรับโครงสร้างใหญ่ครั้งสำคัญของกลุ่ม สู่ธุรกิจให้บริการด้านคาร์บอนเครดิตครบวงจร (Carbon Credit ) และ Renewable Energy Certificate (RECs) โดยเป็นตัวกลางการซื้อขายแลกเปลี่ยน ให้คำปรึกษาและวางแผนด้านคาร์บอนเครดิต ทำหน้าที่ในการจัดหาทรัพยากร ที่มีใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย Carbon Credit และ RECs

สำหรับธุรกิจใหม่ด้าน Carbon Credits/ RECs  ภายใต้ บริษัท Wave BCG ซึ่งเป็นบริษัทลูก ให้บริการด้านคาร์บอนเครดิตครบวงจร ทั้งการให้คำปรึกษา สำหรับผู้ซื้อและผู้ขาย ที่ต้องการดำเนินการด้านคาร์บอนเครดิต แบบ One Stop Service การเป็นผู้พัฒนาและผู้ประเมินโครงการลดคาร์บอนเครดิต (V/VB) การศึกษาและจัดหาคาร์บอนเครดิต รวมไปถึงการรับรองการผลิตพลัง งานสะอาด (RECs) เพื่อขายในอนาคต

” เป้าหมายบริษัท ต้องการเป็นผู้นำ ถือครองคาร์บอนเครดิต ในปริมาณที่สูงที่สุดในประเทศไทยและแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจัดหา Carbon Credits และ RECs แหล่งผลิตพลังงานหมุนเวียนในประเทศเวียดนาม ปัจจุบัน WAVE BCG ถือครองอยู่ที่ 1.38 ล้านRECs  หรือมี Market share  23% ของ RECs ในเวียดนาม ที่มีการขึ้นทะเบียน RECs ทั้งหมด 5.74 ล้าน RECs  ซึ่ง WAVE ปักธงภายในปี 2566 การถือครอง Carbon Credits/ RECs จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านตันคาร์บอน และภายในปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 4.33 ล้านตันคาร์บอน”

สำหรับ ปริมาณการซื้อขาย Carbon Credits/ RECs มีดีมานความต้องการของตลาดในประเทศไทย สูงถึง 100 ล้านตันต่อปี แต่มีการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก  (อบก.)  เพียง 7 ล้านตัน ซึ่งตลาดภาคสมัครใจ หรือ Voluntary Markets มีแนวโน้มเติบโต 15 เท่าในปี 2573 และ 100 เท่าในปี 2593

ส่วนตลาดภาคบังคับ  (Compliance Market) ตามตัวเลขของสหภาพยุโรป  (EU ) มีปริมาณการซื้อขาย Carbon Credits/ RECs สูงถึง 36% ของคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีการปล่อยออกมา เมื่อเทียบกับประเทศไทยมีปริมาณการซื้อขายเพียง 0.3% จึงมีโอกาสเติบโตได้สูงได้อีกมาก

ปัจจุบันราคาซื้อขายคาร์บอนเครดิตปรับตัวขึ้นสูงถึง 410% จากปี 2561 อยู่ที่ 21 บาท/ตัน และในปี 2565 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 107 บาท/ตัน ปัจจุบันราคาซื้อขายอยู่ที่ 50-150 บาท/ตัน ส่วนราคาในตลาดโลกซื้อขายกันที่ 18-70 เหรียญสหรัฐ/ตัน คาดว่าในปี 2575 มีแนวโน้มปรับขึ้นมา 80-150 เหรียญสหรัฐ/ตัน ตามความต้องการที่สูงขึ้น ซึ่งความแตกต่างของราคาขึ้นอยู่กับประเภท และแหล่งที่มาของ Carbon Credits และ RECs

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  กล่าวถึงโครงสร้างธุรกิจของกลุ่ม WAVE ปี 2566 แบ่งเป็น 3 ธุรกิจ ประกอบด้วย 1.ธุรกิจให้บริการด้านคาร์บอนเครดิตครบวงจร ซึ่งดำเนินธุรกิจภายใต้บริษัท WAVE BCG คาดว่าจะสร้างรายได้ให้บริษัทประมาณ 150-200 ล้านบาท 2.ธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาวอลล์สตรีท (Wallstreet)  สร้างรายได้หลักให้กับกลุ่ม WAVE มี 14 สาขา และมีแผนเปิดเพิ่มอีก 2 สาขาในปีนี้ สร้างรายได้ให้บริษัทประมาณ 500-550 ล้านบาท และ 3. ธุรกิจด้านสุขภาพและกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ภายใต้บริษัท WAVE Wellbing คาดว่าปีนี้มีรายได้ประมาณ 150 ล้านบาท

“ภาพรวมผลการดำเนินงานปีนี้ รายได้หลักยังจะมาจาก วอลล์สตรีท เราวางเป้าไว้ว่าจะทำให้ WAVE สามารถเทิร์นอะราวด์ได้ แต่กำไรจะไม่เยอะมาก เพราะบริษัทยังมีความจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อลงทุนสำหรับอนาคต ส่วนรายได้จากธุรกิจ Carbon Credit ช่วงแรกไม่หวือหวา ประมาณ 150-200 ล้านบาท แต่อนาคตจะเติบโตสูงตามเทรนด์โลก ที่ต้องการลดปริมาณคาร์บอนฯ เป็นธุรกิจที่บริษัทใช้เวลาศึกษามานานพอสมควร จึงมั่นใจในอนาคตจะสร้างรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน ให้กับ WAVE” นายเจมส์ แอนดริว มอร์ กล่าว