“เครดิตโบรู” มองยกเลิกแบล็กลิสต์ ต้องคิดให้ครบ ไม่ทำร้ายเศรษฐกิจ

Hoonsmart.com>> “ผู้จัดการใหญ่” เครดิตโบรู แจงข้อเท็จจริงกรณีพรรคการเมืองเสนอยกเลิก “แบล็กลิสต์” ใช้ “เครดิตสกอร์ริ่ง” แทนในระบบสินเชื่อ มองสถานบันการเงินควรได้รับรู้ประวัติการชำระหนี้ที่แท้จริงของลูกหนี้ก่อนพิจารณาสินเชื่อ อยากให้คิดให้ครบ ไม่ทำร้ายระบบเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอ

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ชี้แจงข้อเท็จจริงต่อนโยบายยกเลิกแบล๊กลิสต์ ตามที่มีการประกาศนโยบายยกเลิกแบล๊กลิสต์และเสนอแนวทางการใช้เครดิตสกอร์ริ่งมาแทนในระบบสินเชื่อ ผมใคร่ขอนำเสนอข้อมูลเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ลองพิจารณาดูนะครับ ชอบ ไม่ชอบ เชื่อ ไม่เชื่อ เห็นด้วย เห็นต่าง เป็นเรื่องปกติในระบบประชาธิปไตยที่เราทุกคนได้รับการรับรองสิทธิในการแสดงออก ดังคำพระที่ว่า อย่าเชื่อแต่จงใช้สติและปัญญามาพิจารณาให้ถ่องแท้

สุรพล โอภาสเสถียร

1.แบล๊กลิสต์มีอยู่ในรายงานเครดิตบูโรหรือไม่ คำตอบคือไม่มีส่วนใดในรายงานเครดิตบูโรที่จะระบุว่า บุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชีสินเชื่อและประวัติการชำระหนี้รายนั้น เป็นคนที่ไม่สมควรจะคบค้าสมาคม ไม่สมควรจะทำธุรกิจด้วย หรือไม่สมควรที่จะได้สินเชื่อใหม่ที่กำลังยื่นขออยู่

2.ประวัติการชำระหนี้ที่อยู่ในรายงานเครดิตบูโรนั้นมาได้อย่างไร คำตอบคือ สถาบันการเงินสมาชิกของเครดิตบูโรเป็นคนส่งมาให้ทุกเดือนครับ มาตามที่กฎหมายกำหนด ใครมาเป็นสมาชิกก็ต้องส่งข้อมูลมาครับ คนทำธุรกิจจำนำทะเบียนหลาย ๆ รายที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เขาไม่มาเป็นสมาชิก เขาก็ไม่ได้ส่งข้อมูลมาครับ สหกรณ์ออมทรัพย์หลายรายก็แบบเดียวกัน และการมาเป็นสมาชิกเครดิตบูโรก็ด้วยความสมัครใจของสถาบันการเงินนั้นเอง หลายธนาคารต่างประเทศก็ไม่ได้เป็นสมาชิกของเครดิตบูโร ดังนั้นใครไปเป็นลูกหนี้กับสถาบันการเงินเหล่านั้น ข้อมูลประวัติการชำระหนี้สินเชื่อของท่านก็ไม่มาที่ระบบเครดิตบูโรครับ

3.ประวัติที่ถูกส่งมายังระบบเครดิตบูโรคือประวัติการชำระหนี้ตามที่ลูกค้ามีบัญชีอยู่ครับ ถ้าจ่ายได้ตามกำหนด ตามสัญญา ข้อมูลจะบอกว่า ไม่ค้างชำระ แต่ถ้าไม่ได้ไปจ่ายด้วยเหตุผลใดก็ตาม รายงานก็จะระบุว่าค้างชำระ ตามความจริงเป๊ะ เพราะถ้าคนส่งข้อมูลไม่ดูแลความถูกต้อง เขาจะมีความผิดในการส่งข้อมูลและมีโทษในทางอาญาครับ ดังนั้น CEO ของสถาบันการเงินสมาชิกเครดิตบูโรจะเข้มงวดเรื่องนี้มาก

ทีนี้สมมติว่าเดือนเมษายน 2565 ไม่ได้จ่ายชำระหนี้ มันก็จะรายงานว่า เดือนเมษายน 2565 ค้างชำระ พอเดือนพฤษภาคม 2565 ลูกหนี้เอาเงินไปเคลียร์สองยอด ยอดแรกคือของเก่าเดือนเมษายนและยอดครบกำหนดปัจจุบันคือเดือนพฤษภาคมได้เรียบร้อย ประวัติก็จะแสดงว่า เดือนพฤษภาคม 2565 ไม่ค้างชำระ

ตามความเข้าใจของผมคือพรรคการเมืองเขาเสนอให้ลบความจริงเดือนเมษายน 2565 ออกไป คำถามคือ เราลบความจริงในประวัติเพื่อให้คนพิจารณาเงินกู้ไม่เห็น ไม่ให้แสดงความจริง กฎหมายมันบอกว่าสถาบันการเงินสมาชิกเครดิตบูโรต้องส่งข้อมูลให้ถูกต้อง ครบถ้วน ทันสมัย ย้ำว่าต้องถูกต้อง

ทีนี้ถ้าลบแล้วข้อมูลประวัติมันก็แหว่งสิครับ เพราะมันหายไปเดือนนึง คือเดือนเมษายน คนพิจารณาให้กู้เขาก็จะรู้โดยอ้อมหรือไม่ว่าข้อมูลผิดปกติ แล้วคนฝากเงินที่เขาเอาเงินมาฝากเพื่อให้สถาบันการเงินเอาเงินไปให้กู้ต่อ เขาจะสบายใจมั้ยว่า สถาบันการเงินจะมีข้อมูลครบในการพิจารณาสินเชื่อ เรา ๆ ท่าน ๆ เคยมีประสบการณ์ที่เกิดในปี 2540 มาแล้วนะครับว่าเพราะคนปล่อยกู้มีข้อมูลไม่ครบ ไม่เห็นนิสัย ประวัติการชำระหนี้ แต่ปล่อยกู้ไป ความเสียหายก็เกิดขึ้นนับเป็นเงินระดับล้าน ๆ บาท ผ่านมา 20 กว่าปีก็ยังใช้ไม่หมด คนเสนอนโยบายก็มีประสบการณ์ร่วมในเหตุการณ์นั้นด้วยใช่ไหมครับ ลืมแล้วหรือไร

เรากำลังจะลบความจริงเพื่อให้คนขอกู้ไปเอาเงินฝากผ่านคนกลางที่พิจารณาเรื่องโดยมีข้อมูลแหว่ง ไม่ครบ เราคิดจะทำอย่างนั้นจริง ๆ เหรอครับ

ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายนะครับ ถ้าอย่างนั้นต่อไป จะแก้ปัญหาคนไม่ได้งาน เพราะนายจ้างมีระบบคัดกรอง เราก็สนับสนุนให้ไปสมัครงาน โดยเอาใบเกรด 4ปี 8เทอมไปให้คนสัมภาษณ์ดู แต่เราก็สามารถลบวิชาที่เราสอบได้คะแนนไม่ดีออกไปได้ จะได้เหลือแต่วิชาที่สอบได้ดี เพื่อจะได้ผ่านการคัดกรอง มีงานทำ เรากำลังคิดจะทำกันแบบนี้เลยเหรอครับ

4.แน่นอนครับว่าระบบการให้สินเชื่อเรายังไม่ตอบโจทย์ ยังมีคนตัวเล็ก SME ขนาดจิ๋ว ยังเข้าไม่ถึงสินเชื่อ หรือถ้าเข้าได้ก็โดนดอกเบี้ยแพง ยิ่งหลังโควิดมีแผลเป็นจากการชำระหนี้ เช่น
เป็นคนเคยค้างแต่ตอนนี้ดีแล้ว เป็นคนเคยประนอมหนี้แต่ตอนนี้กลับมาชำระปกติได้แล้ว เป็นคนที่ยังมีคนค้าขายด้วย มีคนสั่งซื้อของแต่มีประวัติว่าเคยค้าง หรือแม้แต่ ปี 2562 ก่อนโควิด-19 ชำระหนี้ได้ทุกบัญชี ชำระหนี้ได้เต็มปี เต็มคาราเบล 12เดือน พอปี 2563 เจอโควิด-19 ปี 2564 เจอเดลต้า ปี 2565 เป็นหนี้เสียค้างเกินสามงวด เกิน 90วัน เป็นหนี้ NPLs รหัส 21 เวลานี้เศรษฐกิจกลับมาแล้ว แต่แผลเป็นคือเป็นหนี้เสีย เข้าไม่ถึงเพราะกติกามันบอกว่าต้องปรับโครงสร้างหนี้ก่อนถึงจะใส่เงินใหม่ หนี้ใหม่เข้าไปได้

5.การจะได้เงินใหม่ หนี้ใหม่ มันก็ต้องมีข้อมูลว่ามีรายได้แล้วนะ ชัวร์นะ มีแน่นอนนะ ที่ผ่านมารายได้มันหดหาย ภาษาเทพ ภาษาพรหมคือ income shock เกิดหลุมรายได้

ข้อมูลด้านอื่น ๆ เช่น ใช้น้ำใช้ไฟ ชำระหนี้ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ตรงเป๊ะ ไม่ค้างนะ ไม่เหนียวหนี้ หรือแม้แต่เป็นลูกจ้าง Platform ขายอาหาร ส่งของ ส่งสินค้า หรือมีข้อมูลจากผู้ซื้อที่เป็นกิจการของเจ้าสัว ว่าตัวเราเป็นซัพพลายเออร์ของเขานะ มียอดขายรายเดือนเท่านั้นเท่านี้ ถ้าเรามีข้อมูลแบบนี้ที่เรียกว่าข้อมูลทางเลือก (Alternative data) ไปให้กับคนขอกู้ได้มันก็จะไปช่วยสมานแผลเป็นจากประวัติชำระหนี้ค้าง คิดง่าย ๆ คือเราต้องการฮีรูดอยล์เอาไปทาแผลเป็นให้ผิวเราดีและสวยใกล้เคียงเดิม แนวคิดนี้ในหลายประเทศข้าง ๆ เราก็ทำเช่น เครดิตบูโรของลาว ที่เอาข้อมูลค่าน้ำค่าไฟเข้าระบบ เครดิตบูโร กัมพูชาเอาข้อมูลเช็คเด้งเข้าระบบ เพราะเขารู้ว่ามันมีแผลเป็นครับ

บ้านเราข้อมูลเหล่านั้นอยู่ในมือกิจการขนาดใหญ่ Platform รัฐวิสาหกิจ ถ้าท่านเหล่านั้นยอมส่งข้อมูลไปยังสถาบันการเงินตามคำขอของลูกค้า ในฐานะเจ้าของข้อมูล ภายใต้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ทำเป็นขั้นตอนทางดิจิทัล ผ่านมือถือ มันก็จะทัดเทียมประเทศอื่น ๆ เขา ประเด็นคือการใช้ การแชร์ การส่งต่อข้อมูล ในโลกหลังโควิด-19 ครับ ข้อมูลเพิ่มมันก็จะช่วยให้รู้จักลูกค้าเพิ่ม แต่ในทางกลับกัน ถ้าลูกค้าท่านเหนียวหนี้ ท่านไม่ไปจ่ายหนี้สาธารณูปโภค ท่านก็ไม่ได้สินเชื่อ แล้วเราต้องมีนโยบายเลือกตั้งครั้งหน้าให้ลบประวัติการค้างชำระหนี้พวกนี้อีกไหม… อันนี้ขอถาม

6.ถ้าเราเอาข้อมูลทั้งระบบเก่าคือประวัติการชำระหนี้ กับข้อมูลทางเลือกใหม่ มาผสมกันแบบที่ธนาคารโลกสนับสนุน และบ้านเราก็มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้หน่วยงานไปดำเนินการมากว่า 5-7 ปีที่แล้วในเรื่อง Ease of Doing business ถ้าเราทำให้จบเวลานั้น เราคงไม่มาพูดกันในเวลานี้ แต่ไม่เป็นไรครับ มันไม่สายที่จะทำ แม้แต่ทางธุรกิจโทรคมนาคมเข้ามีหนังสืออย่างเป็นทางการขอส่งและแลกข้อมูลของมือถือ (Mobile data) กฎหมายและผู้คุมกฎหมายก็ยังไม่อนุมัติให้ทำได้ เพราะกฎหมายในปัจจุบันมันไม่เปิดช่อง (ตีความแล้ว) ถ้าท่านนักการเมืองที่กำลังเสนอตัวมาทำตรงนี้ท่านทำได้จริง ทะลุกฎหมายล้าสมัยได้จริง ผมจะขออนุโมทนา สาธุครับ

การกลับไปลบความจริงที่เกิดขึ้นในการชำระหนี้ตามความเข้าใจของผมแล้วเชื่อว่ามันจะช่วย อยากให้ช่วยกันคิดให้ครบ อย่าสุกเอาเผากิน ใช้ความรู้จริง อย่าใช้ความรู้สึก นโยบายต้องมาจากความจริง ความดี มันถึงจะงอกเป็นความงาม มันต้องไม่ทำร้ายระบบเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอ

สิ่งที่นำเสนอมาเป็นเรื่องที่ดีมากครับ เปิดทางให้ผมได้เสนอข้อมูล ผมเห็นด้วย รายงานวิชาการก็เห็นด้วย มติ ครม. ก็มีแล้ว มันไม่ใช่เรื่องใหม่แต่เป็นเรื่องที่ต้องลงมือทำด้วยความรู้และความกล้า เพื่อพัฒนาชาติ ประเทศ เศรษฐกิจของไทย

เห็นด้วยครับในเรื่องปรับปรุงแนวคิดระบบการให้สินเชื่อของประเทศไทยเรา เพราะเรามีแผลเป็นจากโควิดในตัวคนกู้มากมาย และเขาต้องไปต่อ หากแต่เราจะไปยกเลิกในสิ่งที่มันไม่มีอยู่จริง ไม่เคยมี เป็นเรื่องของสิ่งที่พูดกันต่อ ๆ มา ตามความเชื่อ ไม่มีหลักฐาน เราคงไม่ทำอย่างนั้นแน่ เพราะเรามีสติปัญญาความกล้าหาญมากกว่านั้นแน่นอน

สุดท้าย ในศีล 5 ข้อจะมีเรื่องของการไม่โกหก ไม่พูดเท็จ ไม่ทำให้คนอื่นเชื่อในความเท็จ คนไทยต้องกล้าครับ กล้าที่จะแก้ไข ต้องไม่กล้าที่จะส่งเสริมการลบความจริง มันมีนวัตกรรมทางความคิดที่ดีมากในส่วนที่สองคือ หาข้อมูลเป็นฮีรูดอยล์มาบรรเทาความทุกข์จากแผลเป็นที่ทำให้เราดูไม่ดีจนคนเขาไม่เชื่อที่จะให้เรายืมเงินครับ

https://www.facebook.com/180426925311013/posts/pfbid02aUj2ThtJP14P9DXZcySivrpn8Ew2nkJGgu45tXviNps1ZutLgpdXfD2qZaVC4HdAl/