HoonSmart.com>> บล.กสิกรไทยชี้ปี 66 เป็นโอกาสหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างกลับมาคึกคัก จากความคาดหวังการอนุมัติโครงการเมกะโปรเจกต์ก่อนหมดวาระรัฐบาลชุดปัจจุบันมูลค่ารวม 5 แสนล้านบาท และโอกาสผุดโครงการใหม่ๆหลังการเลือกตั้งจากรัฐบาลชุดใหม่ แนะนำ “ซื้อ” CK ราคาเหมาะสม 30.87 บาท และ STEC ราคาเหมาะสม 18.89 บาท
บล.กสิกรไทย มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มผู้รับเหมางานโยธา โดยแนะนำ CK และ STEC เป็นหุ้นเด่น จากปัจจัยดังนี้ โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ โครงการใหม่จากรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง, ปัญหาแรงงานขาดแคลนที่บรรเทาลง และ ราคาวัสดุก่อสร้างตกต่ำ
CK แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 30.87 บาท เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม เนื่องจากราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ส่วนลด 40% จากราคาตลาดที่ 24 บาท ซึ่งลดมากกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 7 ปีที่ 29% หุ้น STEC แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18.89 บาท เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มอันดับที่ 2 เนื่องจากยังไม่สะท้อนมูลค่าหุ้นของ GULF ซึ่งคิดเป็น 37% ของราคาหุ้นที่ซื้อขายในปัจจุบัน
บล.กสิกรไทยคาดว่าหุ้นในกลุ่มก่อสร้างจะได้ประโยชน์จากโครงการเมกะโปรเจกต์ใหม่ที่เตรียมประมูลก่อนเลือกตั้งปี 66 รวมถึงอีก 2-3 เดือนหลังเลือกตั้งเมื่อรัฐบาลใหม่ได้จัดตั้งแล้วเสร็จ และพร้อมเปิดตัวโครงการใหม่ ทั้งนี้ จากข้อมูลย้อนหลังของการเลือกตั้งทั่วไปในปี 62 หุ้นกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของบล.กสิกรไทยเคลื่อนไหวในเชิงบวกทั้งก่อน และหลังการเลือกตั้ง
บล.กสิกรไทยระบุว่า STEC, SEAFCO และ PYLON ประกาศ backlog ใหม่ที่ลงนามในไตรมาส 4/65 โดย SEAFCO และ PYLON มี backlog ที่ฟื้นตัวแข็งแกร่งจากการเซ็นสัญญาใหม่กับโครงการภาคเอกชน ซึ่งทำให้ backlog ของ SEAFCO และ PYLON เพิ่มขึ้น 600 ล้านบาท และ 580 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 46% และ 58% จากไตรมาสก่อน ตามลำดับ
ส่วน STEC เซ็นสัญญาโครงการเคเบิลใต้ดินจำนวน 2 โครงการ กับรถไฟฟ้า MRT สายสีชมพูและสีเหลือง มูลค่ารวม 7.9 พันล้านบาท หนุน backlog ของ STEC เพิ่มขึ้น 9.5% QoQ ทั้งนี้ การประเมินราคาหุ้นเหมาะสม ได้รวม backlog ใหม่ที่มีการลงนามของ STEC, SEAFCO และ PYLON แล้ว
โครงการเมกะโปรเจกต์จำนวน 6 โครงการจ่อเข้า ครม.เพื่อพิจารณา เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.65 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ประกาศแผนเสนอโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ 6 โครงการให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาในเดือน ม.ค.-ก.พ. 66 ก่อนที่วาระของคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันจะสิ้นสุดลง มูลค่าการก่อสร้างรวม 5 แสนล้านบาท ได้แก่
1) รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เฟส 2 (มูลค่า 3 แสนล้านบาท)
2) รฟท. ส่วนต่อขยายสายสีแดง (มูลค่า 5.8 หมื่นล้านบาท)
3) รถไฟทางคู่ ชุมทางถนนระ-อุบลราชธานี (มูลค่า 3.8 หมื่นล้านบาท)
4) ขอนแก่น-หนองคาย (มูลค่า 2.7 หมื่นล้านบาท)
5) ปากน้ำโพ-เด่นชัย (มูลค่า 6.3 หมื่นล้านบาท)
6) มอเตอร์เวย์ บางปะอิน-นครราชสีมา (มูลค่า 6.7 พันล้านบาท)
สำหรับการเลือกตั้งทั่วไปในอดีต บล.กสิกรไทยได้ศึกษาราคาหุ้นที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ในช่วงการเลือกตั้งทั่วไปในเดือน มิ.ย. 54 (เกือบ 12 ปีที่แล้ว) และเดือน มี.ค. 62 การวิเคราะห์แสดงให้เห็นมูลค่าตลาดรวมของหุ้นที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์เคลื่อนไหวในเชิงบวกทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้งทั่วไปในปี 62 แต่เคลื่อนไหวในเชิงลบในปี 54 แนวโน้มเชื่อว่าข้อมูลในการเลือกตั้งปี 62 ที่เป็นการเลือกตั้งครั้งล่าสุด จะสามารถนำไปใช้เปรียบเทียบได้สมเหตุสมผลมากกว่ากับการเลือกตั้งครั้งต่อไปที่คาดว่าจะมีขึ้นในเดือนมี.ค. 66 คาดว่าหุ้นจะมีปฏิกิริยาเชิงบวกก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่ จากกระแสข่าวโครงการเมกะโปรเจกต์ที่มีการยื่นประมูลจากรัฐบาลชุดปัจจุบัน และช่วง 2-3 เดือนหลังการเลือกตั้งทั่วไป หลังจากมีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่และจะเริ่มอนุมัติโครงการเมกะโปรเจกต์
ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา STEC ทำผลงานได้ดีที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 7.9% เนื่องจากมี backlog ที่ลงนามใหม่และราคาที่ laggard ตามมาด้วย SEAFCO ที่เพิ่มขึ้น 2.8% ขณะที่ราคาหุ้น CK เพิ่มขึ้น 1.3% และ PYLON ลดลง 0.4% ส่วนราคาหุ้นของ TEAMG ลดลงมากที่สุด 3.9% เนื่องจากราคาหุ้นของบริษัทสูงเกินไป และมีปัจจัยหนุนที่ไม่ชัดเจน
สำหรับปัจจัยเสี่ยงของหุ้นในกลุ่มก่อสร้าง ได้แก่ 1) การเปิดตัวโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ล่าช้า 2) โครงการก่อสร้างของภาคเอกชนฟื้นตัวช้าลง 3) การขึ้นค่าแรง และ 4) ความไม่สงบทางการเมือง
#บล.กสิกรไทย #CK #STEC #PYLON #SEAFCO #TEAMG