HoonSmart.com>> “คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ” เดินเกมรุก ปักธงปี 66 โชว์ผลงานเทิร์นอะราวด์ วางเป้ารายได้ 780 ล้านบาท ซุ่มเจรจารับงาน Pop-Up Store แบรนด์ลักซ์ชัวรี่ รายใหญ่ 3-4 ราย จ่อเตรียมรับงาน Motor Show เชื่อโกยรายได้เข้ากระเป๋ากว่า 100 ล้านบาท พร้อมส่งซิกปี 65 คึก Motor Expo 2022 ดันรายได้การจัดพื้นที่พุ่งทะลุเป้า มั่นใจปี65 รายได้รวมแตะกว่า 700 ล้านบาท
นายวงศกร พิเศษสิทธิ์ ผู้จัดการด้านสื่อสารองค์กรและนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท คิงส์เมน ซี.เอ็ม.ที.ไอ (K) ผู้ประกอบธุรกิจออกแบบและตกแต่งงานแบบครบวงจร 4 ประเภท ดังนี้ 1.ธุรกิจงานตกแต่งภายใน (Interiors), 2.ธุรกิจงานแสดงสินค้าและนิทรรศการ (Exhibitions), 3.ธุรกิจการตลาดทางเลือก (Alternative Marketing) และ 4.ธุรกิจงานพิพิธภัณฑ์และสวนสนุกแนวคิด (Museums & Thematic Park) เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯได้ปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ โดยการลดสัดส่วนงานตกแต่งภายใน (Interiors) ในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายและต้นทุนในส่วนงานดังกล่าวลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้บริษัทฯสามารถลดภาระทางการเงินต่างๆ ได้บางส่วน ขณะเดียวกันในปี 2566 บริษัทฯจะหันมาเน้นรับงาน Interiors ที่มีขนาดเล็กลง ซึ่งเป็นความถนัดของบริษัทฯ
“ในปี2566 สัดส่วนงาน Interiors ของเราจะลดลง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเราได้ได้รับงานในโครงการขนาดใหญ่ เช่น ในกลุ่มโรงแรม และโรงพยาบาล เป็นต้น ซึ่งจะใช้เวลาในการดำเนินการนาน การที่เราขยายไปรับงาน Interiors โครงการใหญ่ๆ ในช่วงที่ผ่านมา เพราะเราต้องการกระจายความเสี่ยงจากการถูกดิสรัปชัน (Disruption) จากการที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่ปัจจุบันก็เห็นแล้วว่าประชาชนยังต้องการที่จะเห็นของจริง ต้องการไปสัมผัสในพื้นที่จัดงาน ดังนั้น งานตกแต่งภายในงานจึงฟื้นตัวขึ้น และในปี 2566 บริษัทฯจะหันมาเน้นรับงาน Interiors ระยะสั้น – กลาง มากขึ้น เนื่องจากมีมาร์จิ้นที่ดี ที่การหมุนรอบของเงินทำได้เร็วกว่าโครงการขนาดใหญ่ อีกทั้ง ยังเป็นงานในกลุ่มที่บริษัทฯมีความถนัดด้วย” นายวงศกร กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทฯได้วางเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 780 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ มาจาก 2 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ กลุ่มงาน Interiors ประมาณ 15-20% ของรายได้รวม ส่วนที่เหลือจะมาจากกลุ่มงาน Exhibition (เอ็กซิบิชั่น) และงาน Event (อีเว้นท์) โดยล่าสุด บริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจาเข้ารับงาน Exhibition ประเภท Pop-Up Store ในกลุ่มแบรนด์ลักซ์ชัวรี่รายใหญ่ (งานออกร้านต่างๆ ที่จะจัดในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นพื้นที่ให้แบรนด์นำเสนอความโดดเด่นในแบบของตัวเอง) จำนวน 3-4 แบรนด์ดัง โดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงต้นปี2566นี้
ทั้งนี้ จากปัจจัยเชิงบวกในข้างต้น สามารถการันตีให้เห็นว่า ในปี 2566 “K” ยังคงเติบโตได้ตามแผนที่วางไว้ และจะสามารถเทิร์นอะราวด์ (Turnaround) ได้อย่างแน่นอน หลังจากในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการปรับโครงสร้างในส่วนของงาน Interior ให้สอดรับกับภาวะตลาดในปัจจุบัน ประกอบกับเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศไทยฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา โดยสะท้อนให้เห็นจากงาน Motor Expo 2022 ในช่วงที่ผ่านมา มีความคึกคักมาก และมียอดจองภายในงานกลับมาเกือบเท่าระดับเดิมในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ส่งผลให้ภายในงานดังกล่าว บริษัทฯมีรายได้จากการจัดงานทั้งในส่วนของพื้นที่ส่วนกลาง และการจัดบูธพิเศษ (เฉพาะค่าย) ทะลุเป้าหมายที่วางไว้ 120 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในไตรมาส 4/2565 ทั้งหมด
นอกจากนี้ ในช่วงเดือนมีนาคม 2566 จะมางานใหญ่ อย่างงาน Motor Show ซึ่งบริษัทฯจะเข้ารับงาน ในส่วนการจัดบูธพิเศษเท่านั้น โดยเบื้องต้นได้วางเป้าหมายจะมีรายได้จากงานดังกล่าว ประมาณ 100 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ปกติแล้วงานใหญ่ อย่างMotor Expo และงาน Motor Show บริษัทฯจะมีรายได้เฉลี่ย ที่ประมาณ 100-120 ล้านบาทต่องาน ซึ่งหากรวมทั้ง 2 งาน จะส่งผลให้บริษัทฯมีรายได้เข้ามาประมาณ 240 ล้านบาทต่อปี แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ส่งผลให้รายได้ลดลงเหลือ ระดับ 60-80 ล้านบาท ดังนั้นในปี 2566 บริษัทฯเชื่อว่าจากเศรษฐกิจที่กลับมาดีขึ้น จะทำให้แบรนด์ต่างๆ กลับมาจัดงาน Event แบบคึกคัก ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทฯซึ่งอยู่ในฐานะผู้ประกอบการด้านการออกแบบและตกแต่งภายในงาน Exhibition (เอ็กซิบิชั่น) อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม สำหรับภาพรวมของผลการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2565 บริษัทฯเชื่อมั่นว่า จะมีแนวโน้มเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น โดยบริษัทฯได้วางเป้าหมายรายได้รวมกว่า 700 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้ในปีดังกล่าว จะมาจากกลุ่มงาน Exhibition (เอ็กซิบิชั่น) และ งาน Event (อีเว้นท์) ประมาณ 500 – 600 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะมาจากกลุ่มงานออกแบบและตกแต่ง (Interior) โดย ณ ต้นเดือน มกราคม 2566 บริษัทฯ มีงาน ในมือ (Backlog) รวมมูลค่า 250 ล้านบาท แบ่งเป็นงาน interior 15% และที่เหลือเป็นงาน E&E (Exhibition & Event) โดยจะทยอยรับรู้ในปี 2566 เกือบทั้งหมด