HoonSmart.com>>Krungthai COMPASS ประเมินธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตในปี 2566-67 จะฟื้นตัวดีขึ้น โดยมีจำนวนผู้เข้าพักแรมเพิ่มขึ้นจาก 4.2 ล้านคนในปี 2565 มาอยู่ที่ 7.5 และ 11.2 ล้านคน และรายได้ของธุรกิจโรงแรมจะทยอยฟื้นตัว จาก 3.47 หมื่นล้านบาทในปี 2565 มาอยู่ที่ 6.03 และ 7.75 หมื่นล้านบาท แต่ยังถือว่าต่ำกว่าปี 2562 ที่มีรายได้อยู่ที่ 9.53 หมื่นล้านบาท อยู่ในระดับหนึ่ง จำนวนห้องพักในภูเก็ตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น มีโอกาสอยู่ที่ระดับ 106,000 ห้อง ในปี 65 ก่อนจะขึ้นไปแตะระดับ 112,000 ห้องในปี 67 อาจทำให้ธุรกิจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนพัฒนาโรงแรมใหม่ควรศึกษา Feasibility Study อย่างรอบครอบ
ภูเก็ตมีความสำคัญต่อภาคการท่องไทยขนาดไหน?
จังหวัดภูเก็ตถือเป็นจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทยในการรองรับนักท่องเที่ยวในกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง (Luxury) โดยในปี 2562 ภูเก็ตสร้างรายได้ให้กับภาคการท่องเที่ยวไทยกว่า 4.4 แสนล้านบาท ซึ่งสร้างรายได้มากที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ คิดเป็นสัดส่วน 16% ของรายได้ภาคการท่องเที่ยวไทย ทั้งนี้ จากข้อมูลในปี 2562 นักท่องเที่ยวหลักของจังหวัดภูเก็ตคือ ชาวจีน โดยมีสัดส่วนราว 1 ใน 3 ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมายังภูเก็ตโดยรวม นอกจากนี้ ภูเก็ตยังถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวยุโรป เช่น รัสเซีย เยอรมัน อังกฤษ รวมถึงชาวออสเตรเลีย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 60% ของจำนวนนักท่องเที่ยวยุโรปและออสเตรเลียทั้งหมด โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและมีระยะเวลาการพำนักในประเทศไทยค่อนข้างนานถึง 14-17 วัน ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายต่อคนต่อทริปอยู่ในระดับ 60,000-76,000 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมที่อยู่ในระดับ 41,240 บาท ค่อนข้างมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่ธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตจะมุ่งเน้นไปที่นักท่องเที่ยวในกลุ่มกำลังซื้อสูงเป็นหลัก สะท้อนจากจำนวนห้องพักของโรงแรมในภูเก็ตที่เกือบครึ่งหนึ่งเป็นห้องพักในระดับ First Class และ Luxury อย่างไรก็ดี ด้วยข้อจำกัดด้านการเดินทางจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวในภูเก็ตอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดีนัก สะท้อนจากนักท่องเที่ยวในปี 2564 ลดลงกว่า 92% เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีจำนวนเหลือเพียง 0.2 ล้านคน ส่งผลให้มูลค่าตลาดการท่องเที่ยวของภูเก็ตในปี 2564 ลดลงเหลือเพียง 0.2 แสนล้านบาทเท่านั้น
ทั้งนี้ ภูเก็ตยังคงเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังภูเก็ตในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2565 เป็นจำนวนถึง 4.1 ล้านคน เพิ่มขึ้น 462%YoY ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2565 ที่ผ่านมา การท่องเที่ยวในภูเก็ตเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2565 สามารถแบ่งได้เป็นนักท่องเที่ยวไทย 1.8 ล้านคน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ 2.3 ล้านคน แสดงให้เห็นว่าภูเก็ตยังคงเป็นจุดหมายสำคัญของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาติ สอดคล้องกันกับการประกาศรางวัลของนิตยสารท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง Travel+Leisure Southeast Asia ที่ยกให้ภูเก็ตได้รับรางวัลอันดับที่ 1 ในหัวข้อ Best Island in Southeast Asia เนื่องจากเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในแถบทะเลอันดามันของไทย
ในปี 2566-67 แนวโน้มธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตจะเป็นอย่างไร?
Krungthai COMPASS ประเมินว่า ธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตในปี 2566-67 จะฟื้นตัวดีขึ้น ตามการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวภูเก็ต โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่สะสมมานานกว่า 3 ปี ประกอบกับมีโอกาสได้รับอานิสงส์จากการที่รัฐบาลจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการ Zero-COVID ลง ทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนซึ่งเป็นตลาดหลักสามารถเริ่มกลับมาเดินทางได้บ้างในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2566 ทั้งนี้ คาดว่า ในปี 2566-67 โรงแรมในภูเก็ตจะมีจำนวนผู้เข้าพักแรมเพิ่มขึ้น 7.5 และ 11.2 ล้านคน และมีรายได้อยู่ที่ 6.03 และ 7.75 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็น 58-86% ในเชิงจำนวนผู้พักแรม และ 63-81% ในเชิงรายได้ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิด COVID-19 (ปี 2562)
อย่างไรก็ดี เป็นข้อสังเกตว่าในช่วง 1-2 ปีต่อจากนี้ จะมีผู้ประกอบการที่เตรียมเปิดโรงแรมใหม่เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้จำนวนห้องพักในภูเก็ตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 97,512 ห้อง ในปี 2562 ขึ้นมาอยู่ในระดับ 106,000 ห้อง ในปี 2565 ก่อนจะขึ้นไปแตะระดับ 112,000 ห้องในปี 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2562 ถึง 15.3% ทั้งนี้ จำนวนห้องพักในจังหวัดภูเก็ตเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดมาตั้งแต่ปี 2562 จากการที่ตลาดท่องเที่ยวของภูเก็ตกำลังอยู่ในช่วงเติบโตสูงสุด ทำให้มีผู้ประกอบการโรงแรมเปิดตัวโรงแรมใหม่ในปี 2562 เพิ่มขึ้นกว่า 12,805 ห้อง และจำนวนห้องพักยังคงมีแนวโน้มเติบโตขึ้นทุกปี สะท้อนจากข้อมูลการขออนุญาตก่อสร้างโรงแรมในภูเก็ตในช่วงปี 2563-2564 มีการขออนุญาตก่อสร้างสูงถึง 200,000-250,000 ตร.ม. ต่อปี เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมทำให้ผู้ประกอบการให้ความสนใจที่จะลงทุนในธุรกิจโรงแรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มของ Hotel Residences ที่รองรับกพักระยะยาวเป็นหลัก โดยรายชื่อและข้อมูลของโรงแรมที่จับกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงที่จะเปิดใหม่ในภูเก็ตตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 จนถึงปี 2569
การเพิ่มขึ้นของจำนวนห้องพัก ประกอบกับปริมาณนักท่องเที่ยวที่ยังไม่กลับมาอยู่ในระดับเดียวกับปี 2562 มีแนวโน้มที่จะทำให้อัตราเข้าพัก (OR) โดยรวมของธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตจะยังอยู่ในระดับ 52-58% ในปี 2566-67 ซึ่งถือว่ายังต่ำกว่าระดับ 75% ในปี 2562 อยู่พอสมควร ส่งผลให้ภาวการณ์แข่งขันของธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงต่อไป ดังนั้น การปรับเพิ่มราคาห้องพักของผู้ประกอบการยังน่าจะทำได้อย่างค่อนข้างจำกัด โดย Krungthai COMPASS ประเมินว่าราคาห้องพักโดยเฉลี่ยในปี 2566-67 จะอยู่ที่ 3,100-3,300 บาทต่อคืน แม้จะเพิ่มขึ้นจาก 2,875 บาทต่อคืน ในปี 2565 แต่ยังถือว่าต่ำกว่าปี 2562 ที่ราคาห้องพักเฉลี่ยอยู่ที่ 3,900 บาทต่อคืน อยู่ประมาณ 15-20% ซึ่งมุมมองดังกล่าวมีความสอดคล้องกับความเห็นของ Knight Frank ที่ประเมินว่าราคาขายห้องพักโดยเฉลี่ยในภูเก็ตจะยังคงเติบโตขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะยังไม่กลับไปสู่ระดับปกติได้ก่อนปี 2568 (รูปที่ 7)
ในส่วนถัดไปจะชวนมาวิเคราะห์กันว่าผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตควรมีแนวทางในการปรับตัวอย่างไร? ภายใต้สถานการณ์ด้านการแข่งขันที่มีโอกาสอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
ธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตควรปรับตัวอย่างไร?
Krungthai COMPASS ประเมินแนวทางการปรับตัวของธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตออกเป็น 2 รูปแบบ
คือ 1) การปรับตัวสำหรับผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตอยู่แล้วในปัจจุบัน และ
2) การปรับตัวสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเข้ามาลงทุนในธุรกิจโรงแรมในภูเก็ต โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1) ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตอยู่แล้ว “ควรปรับรูปแบบการให้บริการให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากนโยบายการทำงานแบบ Work from Anywhere ของหลายองค์กรทั่วโลก ทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่ม Workation มีแนวโน้มเติบโตขึ้นในอนาคต” เนื่องจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้มีโอกาสที่จะมีระยะเวลาพำนักนานกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป ดังนั้น นอกจากสิ่งจำเป็นพื้นฐานอย่าง WIFI ที่มีประสิทธิภาพแล้ว ผู้ประกอบการอาจปรับเปลี่ยนรูปแบบห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวกบางส่วน หรือจัดพื้นที่ Co-working space ที่มีบรรยากาศเอื้อต่อการทำงาน
นอกจากนี้ การขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มใหม่ๆ เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงท่ามกลางสถานการณ์ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย ซึ่งถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง และมีโอกาสจะกลายเป็นกลุ่มลูกค้าสำคัญของภาคการท่องเที่ยวภูเก็ต เนื่องจากอินเดียมีจำนวนประชากรกว่า 1,400 ล้านคน โดยสหประชาชาติ คาดการณ์ว่า อินเดียจะขึ้นเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลกในปี 2566 ซึ่งในแต่ละปีมีคนอินเดียทั้งที่อยู่ในอินเดียและประเทศอื่นๆ ออกท่องเที่ยวจำนวนมาก ซึ่งภูเก็ตก็จัดเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของคนอินเดีย ปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยสูงสุดเป็นอันที่ 2 รองจากมาเลเซีย โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวอินเดียรวม 6.5 แสนคน และเลือกเดินทางมาท่องเที่ยวที่ภูเก็ต 1.5 แสนคน คิดเป็นสัดส่วน 23% ของจำนวนนักท่องเที่ยวชาวอินเดียที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนิวเดลี ประเทศอินเดีย ที่ระบุว่า นักท่องเที่ยวชาวอินเดียที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยกลุ่ม Luxury กลุ่ม Millennials และกลุ่ม Leisure ซึ่งมีระยะเวลาเข้าพักเฉลี่ยราว 3-7 คืน นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวที่ภูเก็ต
อีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้ธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้น คือ การพัฒนาโรงแรมให้เข้ากับเทรนด์การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) โดย Global Wellness Institute (GWI) ได้ประเมินว่า ตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลกมีแนวโน้มเติบโตสูงกว่าปีละ 20.9% จากมูลค่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2563 เป็น 11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2568 ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวกลุ่ม Wellness Tourism ถือเป็นกลุ่มที่มีคุณภาพและมีแนวโน้มเติบโตดี รวมถึงค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่อคนต่อทริปค่อนข้างสูง ทั้งนี้ ภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในด้าน Wellness Tourism อยู่แล้ว จึงสามารถทำการตลาดด้านนี้ได้ไม่ยาก
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการควรหารายได้จากบริการอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อทดแทนรายได้จากอัตราการเข้าพักที่ลดลง เช่น การให้บริการอาหารผ่านช่องทาง Application Food Delivery ให้กับลูกค้าภายนอกโรงแรม หรือจัดเตรียมสถานที่สวยๆ ไว้สำหรับดึงดูดนักท่องเที่ยวที่นิยมการถ่ายรูปลง Social Media ซึ่งจะทำให้มีโอกาสเพิ่มรายได้จากการขายอาหารและเครื่องดื่มจากลูกค้ากลุ่มดังกล่าว รวมถึงควรให้ความสำคัญในเรื่องการบริหารต้นทุนและการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ช่วยลดต้นทุนด้านแรงงาน หรืออาจพัฒนาระบบการจองห้องพักผ่านโทรศัพท์มือถือของลูกค้าโดยตรง ซึ่งจะเป็นช่องทางที่มีอัตรากำไรดีกว่าการขายผ่าน Online Travel Agency อีกทั้งยังคงต้องรักษามาตรฐานในการรักษาความปลอดภัยด้านสุขอนามัย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว เช่น ผู้ประกอบการอาจขอการรับรองมาตรฐานด้านสุขอนามัย SHA หรือ SHA+ จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นต้น
2) สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนพัฒนาโรงแรมใหม่ในภูเก็ตเพื่อดำเนินการในช่วงปี 2566-67 “ควรศึกษา Feasibility Study อย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามที่ประเมินไว้ เนื่องจากในช่วง 1-2 ปีนี้ อัตราเข้าพัก (OR) โดยรวมของโรงแรมในภูเก็ตจะยังไม่กลับไปอยู่ในระดับเดียวกับในอดีต” โดยภาพรวมอัตราการเข้าพักในโรงแรมในภูเก็ตในปี 2566-67 จะยังอยู่ในระดับ 52-58% ซึ่งยังต่ำกว่าระดับ 75% ในปี 2562 อยู่พอสมควร ส่งผลให้การปรับเพิ่มราคาห้องพักของผู้ประกอบการในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ยังน่าจะทำได้อย่างค่อนข้างจำกัด
ดังนั้นผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าซื้อกิจการโรงแรมเพื่อมา Renovate และดำเนินการในปี 2566-67 จึงควรศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ในหลายๆ Conservative Scenarios เพื่อให้มั่นใจได้ว่าการลงทุนในครั้งนี้จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้จริงในอนาคต อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ประกอบการที่มีโครงการจะพัฒนาโรงแรมใหม่ในช่วงเวลานี้ และพร้อมดำเนินการในปี 2568-70 ก็อาจดูเป็นตัวเลือกที่มีความน่าสนใจมากกว่า เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวภูเก็ตน่าจะกลับมาฟื้นตัวเต็มที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังควรให้ความสำคัญกับการศึกษา Feasibility Study อย่างรอบคอบ เนื่องจากจำนวนห้องพักโดยรวมยังคงมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยสรุปแล้ว Krungthai COMPASS มองว่า “ภูเก็ต” ยังเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้เร็วหลัง เนื่องจากเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งมีวัฒนธรรมและแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลาย รวมทั้งมีสิ่งอำนวยความสะดวก รองรับนักท่องเที่ยวอย่างครบครับ โดยคาดว่าจำนวนผู้พักแรมในปี 2566-67 จะฟื้นตัวกลับมาได้ในระดับ 7.5 และ 11.2 ล้านคน และรายได้ของธุรกิจโรงแรมจะทยอยฟื้นตัวมาอยู่ที่ 6.03 และ 7.75 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ หรือคิดเป็น 63-81% เทียบกับช่วงก่อนเกิด COVID-19 (ปี 2562)
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการโรงแรมในภูเก็ตยังคงต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น จากจำนวนห้องพักที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2562 โดยคาดว่า จำนวนห้องพักจะแตะระดับ 112,000 ห้อง ในปี 2567 ซึ่งสูงกว่าปี 2562 ที่มีจำนวนห้องพัก 97,512 ห้อง 15.1% ขณะที่จำนวนผู้เข้าพักยังไม่กลับมาในระดับเดิม ส่งผลให้ OR มียังคงฟื้นตัวได้อย่างช้าๆ และทำให้การปรับขึ้นราคาห้องพักยังทำได้ค่อนข้างจำกัด โดยในปี 2566-67 คาดว่า OR จะอยู่ในระดับ 52-58% และราคาห้องพักเฉลี่ยที่ขายได้จะอยู่ที่ 3,100-3,300 บาทต่อคืน ซึ่งถือว่ายังต่ำกว่าในปี 2562 ที่มี OR เท่ากับ 75% และมีราคาห้องพักที่ขายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 3,900 บาทต่อคืน อยู่พอสมควร
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจโรงแรมในภูเก็ตอยู่แล้วควรปรับรูปแบบการให้บริการโดยเฉพาะจากนโยบายการทำงานแบบ Work from Anywhere ของหลายองค์กรทั่วโลก รวมถึงควรหารายได้จากบริการอื่นๆ เพื่อทดแทนรายได้จากอัตราการเข้าพักที่ลดลง รวมทั้งแสวงหา และขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มใหม่ๆ โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังซื้อสูง ขณะที่ผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนพัฒนาโรงแรมใหม่ในภูเก็ตเพื่อดำเนินการในช่วงปี 2566-67 ควรศึกษา Feasibility Study อย่างรอบคอบ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ตามที่ประเมินไว้