5 โบรกฯมองบวกหุ้นปี 66 เชียร์ 35 ตัว กสิกรฯหวังสูง 1,946

HoonSmart.com>>5 โบรกเกอร์ส่องหุ้นปี 66 ดูดีกว่าตลาดต่างประเทศ เล็งเป้าดัชนี SET สิ้นปีไว้สูงกว่า 1,700 จุด บล.หยวนต้าคาดเลือกตั้งลุ้น 1,800 จุด บล.กสิกรไทยมองกรณีดีที่สุดวิ่งขึ้นไปสูงสุดถึง 1,946 จุด ขณะที่เลวร้ายสุดอยู่ที่  1,475 จุด มติเอกฉันท์ต้องมีกลุ่ม Domestic Plays เชียร์ 35 หุ้นเด่น  AP, BBL, CPALL, CRC, CK, HANA, ICHI, KKP, LH, MINT, SCB, SHR, TLI, WHA, KBANK, GULF, GPSC, AMATA, BJC, MAKRO, OR, ADVANC, MAJOR, SPA, VRANDA, NSL, BCP, PRM, KTB, BAM, SC, AAI, CPN, BDMS และ TEGH

ในปี 2565 ดัชนีหุ้นไทย (SET) ลดลง 40.07 จุด  ติดลบประมาณ 2.42% ปิดที่ระดับ 1,617.55 จุด ณ วันที่ 23 ธ.ค.เทียบกับดัชนีปิดที่ระดับ 1657.62 จุด เมื่อสิ้นปี 2564   แม้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิสูงมากถึง 183,135.57 ล้านบาทก็ตาม (ม.ค.-23 ธ.ค.2565) ส่วนนักลงทุนไทยขายทั้งสามกลุ่ม  นำโดยสถาบันในประเทศทิ้ง 154,391.04 ล้านบาท นักลงทุนไทยขายจำนวน 27,016.51 ล้านบาท และพอร์ตบล.ขายจำนวน 1,728.02 ล้านบาท

แนวโน้มตลาดหุ้นปี 2566 จะเป็นอย่างไร นักวิเคราะห์อย่างน้อย 5 แห่ง มองบวกและมีโอกาสไปได้ดีกว่าตลาดต่างประเทศที่มีความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐอเมริกาและยุโรป

*CGS-CIMB มองเป้าไกลถึง 1,900 ชู 5 ธีมเด่น

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) คาดการณ์ดัชนีหุ้นในปี 2566 ไว้ที่ 1,900 จุด  P/E เท่ากับ 17.5 เท่า กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดจะอยู่ที่ 98.3 บาท เติบโต 11% จากปี 2565 ที่ 88.6 บาท เติบโต 9% จากปี 2564 เน้นกลุ่มผู้เล่นที่มีรายได้จาก ในประเทศ หรือ Domestic plays จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า (Outperform) เนื่องจากมองว่าส่งออกจะชะลอตัวจากเศรษฐกิจของสหรัฐ และยุโรปเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ดีจากภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก คาดว่านักท่องเที่ยวจะเข้ามาประมาณ 21 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะมีจำนวน 10 ล้านคน

สำหรับราคาน้ำมัน Brent ในปี 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ 90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลงจากปี 2565 ที่ 103 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

การลงทุนในปี 2566 มอง 5 ธีมเป็นหลัก ได้แก่ 1. ธีมการเลือกตั้ง จะสนับสนุนพวก Domestic plays ได้ดี ทั้งในกลุ่มค้าปลีก, รับเหมาก่อสร้าง, อสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มลิสซิ่ง ก็จะดีขึ้นด้วย , 2. ธีมหุ้นบิ๊กแคปที่เป็น Domestic plays อย่างหุ้นในกลุ่มธนาคาร จะได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจฟื้นตัว และอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น, 3. ธีมได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยว หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และกลุ่มโรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยต่างชาติจะกลับมา เช่น หุ้น BH, MINT, SHR, CENTEL 4. ธีมเงินบาทแข็งค่า สนับสนุนให้ Fund Flow ไหลเข้า ซึ่งหุ้นที่น่าสนใจเป็นกลุ่มธนาคาร, ค้าปลีก, หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และ 5. ธีม ESG กองทุนต่าง ๆ หันมาโฟกัส ESG มากขึ้น

ทั้งนี้จาก 5 ธีมหลักดังกล่าว ทำให้กลุ่มธนาคาร, ค้าปลีก, อสังหาริมทรัพย์, โรงแรม น่าสนใจ จึงแนะนำให้เพิ่มน้ำหนักลงทุน มอง 14 หุ้นเด่น  ได้แก่ หุ้น AP ราคาเป้าหมาย 13.60 บาท, หุ้น BBL ราคาเป้าหมาย 174 บาท, หุ้น CPALL ราคาเป้าหมาย 80 บาท, หุ้น CRC ราคาเป้าหมาย 48 บาท, หุ้น CK ราคาเป้าหมาย 33 บาท, หุ้น HANA ราคาเป้าหมาย 65 บาท, หุ้น ICHI ราคาเป้าหมาย 14.50 บาท, หุ้น KKP ราคาเป้าหมาย 90 บาท, หุ้น LH ราคาเป้าหมาย 11.60 บาท, หุ้น MINT ราคาเป้าหมาย 38 บาท, หุ้น SCB ราคาเป้าหมาย 145 บาท, หุ้น SHR ราคาเป้าหมาย 6.20 บาท, หุ้น TLI ราคาเป้าหมาย 21.20 บาท และหุ้น WHA ราคาเป้าหมาย 4.76 บาท

*YUANTA มองเป้าดัชนี 1,720 หุ้นไทยจะเด่นกว่าตปท.

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปี 2566 ตั้งเป้าหมายดัชนีไว้ที่ 1,720 จุด คิด P/E 16 เท่า คาดกำไรบจ.เติบโต 10% ส่วนเศรษฐกิจจะเติบโต 3.8% ใกล้เคียงกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยทำประมาณการไว้

ทิศทางการลงทุนในครึ่งแรกปี 2566 ตลาดจะไม่ค่อยดี จากความกังวลเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยมากขึ้น แต่ตลาดหุ้นไทยจะยังเคลื่อนไหวได้ดีกว่าตลาดอื่น เนื่องจากจะมีการเลือกตั้งและการท่องเที่ยวอยู่ในทิศทางฟื้นตัว ส่วนช่วงครึ่งปีหลัง หุ้นไทยจะเป็นไปตามตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งจะอิงปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก เชื่อว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แม้จะยังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย แต่ก็คงจะขึ้นในอัตราที่เบาลง ทำให้ตลาดปรับขึ้นได้

“ปีหน้าเป็นปีที่ดีต่อเนื่องของตลาดหุ้นไทย เนื่องจากตลาดอื่นซึมลงตั้งแต่ต้นปี โดยตลาดต่างประเทศจะเป็นลักษณะ”ต้นร้ายปลายดี” แต่สำหรับตลาดหุ้นไทยจะ Outperform ตลาดอื่นตั้งแต่ต้นปีเลย โดยในช่วงเลือกตั้งมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้ถึง 1,770-1,800 จุด”นายณัฐพลกล่าว

ส่วนปัจจัยหลักที่จะต้องติดตาม คือ การเลือกตั้งจะมีการจัดตั้งรัฐบาลในรูปแบบไหน, ความกังวลเศรษฐกิจถดถอยจากภายนอกประเทศ คาดว่าจะเกิดก่อนเดือนพ.ค., จับตาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐ และจีน รวมถึงจับตาผลกระทบจากการเก็บภาษีขายหุ้น ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อสภาพคล่องตลาด

สำหรับหุ้นเด่นมอง  4 กลุ่ม ได้แก่ 1. หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าจะอยู่รอดได้ช่วงเศรษฐกิจถดถอย และได้แรงหนุนจากราคาก๊าซธรรมชาติปรับตัวลง เชียร์ GULF, GPSC, 2. หุ้นค้าปลีก ได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวมาช่วยหนุนการบริโภค เชียร์หุ้น MAKRO, BJC, 3. กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ตอบรับ EV ที่เริ่มมีการลงทุน แนะนำหุ้น AMATA, 4. หุ้นในกลุ่มธนาคาร ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยทรงตัวในระดับสูง และการท่องเที่ยวฟื้นตัว ช่วยลดความกังวล NPLs และลดการตั้งสำรองฯ แนะนำหุ้น BBL, KBANK

*UOBKH เป้าดัชนี 1,790 เลือกตั้ง-มาตรการกระตุ้นศก.หนุน

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในปี 2565 มองเป้าหมายดัชนี SET ที่ 1,690 จุด คิด P/E เท่ากับ 17.5 เท่า ส่วนปี 2566 มองไว้ที่ 1,790 จุด คิด P/E เท่ากับ 17 เท่า ลดลงจากปี 2565 เนื่องจากสภาพคล่องต่างประเทศจะลดลงไป  กำไรของบจ.ของปี 2566 คาดว่าจะเติบโต 2% ลดลงจากปี 2565 ที่คาดว่ากำไรจะโต 12% มองว่ากลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมีจะเป็นตัวถ่วง สำหรับเศรษฐกิจคาดว่าจะเติบโต 3.7% ขณะที่ปีนี้จะเติบโต 3.2%

ทิศทางตลาดหุ้นในช่วงครึ่งแรกปี 2566 ยังไปได้ดี จากเศรษฐกิจไทย และอาเซียนที่เติบโตได้ดี อีกทั้งมีแรงหนุนจากการเลือกตั้ง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ขณะที่ยุโรปยังต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในไตรมาส 3/2565 ไปจนถึงไตรมาส 1/2566 ส่วนสหรัฐอาจเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในครึ่งหลังปี 2566 หรืออาจไม่เกิดขึ้นก็ได้

สำหรับช่วงครึ่งหลังปี 2566 น่าจะได้แรงส่งดีจากการเปิดประเทศของจีน แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่านักท่องเที่ยวจีนจะมาได้เร็วแค่ไหน ฝ่ายวิจัยคาดว่านักท่องเที่ยวจีนน่าจะเข้าไทยได้ในช่วงกลางปี 2566

หุ้นเด่นปี 2566 มองธีมการเปิดเมือง โดยเฉพาะหุ้นที่ยัง Laggard อยู่ อย่างกลุ่มโรงแรมขนาดเล็ก, โรงภาพยนตร์ และหุ้น MINT, ธีมค้าปลีก จากการบริโภคที่ดีขึ้นตามการจ้างงานต่าง ๆ รายได้ภาคบริการดีขึ้น และธีมหุ้นปลอดภัย ซึ่งเป็นเป้าหมายของนักลงทุน มองหุ้นในกลุ่มพลังงานทดแทน, กลุ่มโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะกลุ่มโรงไฟฟ้า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2566 คาดหวังบวกกับการปรับขึ้นค่าไฟ สำหรับหุ้นเด่น มองเป็นหุ้น BBL, CPALL, OR, GULF, ADVANC, MAJOR, SPA, VRANDA และ NSL

*FSS ตั้งเป้าดัชนี SET ปี 66 ที่ 1,760 เชียร์หุ้นในกลุ่ม Domestic

นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) กล่าวว่า ดัชนีปี 2566 ตั้งเป้าไว้ที่ 1,760 จุด คิด P/E 16 เท่า  EPS ปี 66 คาดว่าจะอยู่ที่ 111 บาท/หุ้น มีโอกาสปรับเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นไทย แม้จะมีจังหวะการพักตัวบ้าง แต่ยังดูแข็งแกร่งกว่าตลาดต่างประเทศ เนื่องจากเศรษฐไทยที่ฟื้นตัวขึ้น จากภาคการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ดี การเก็บภาษีขายหุ้นในปีหน้าอาจจะถ่วงสภาพคล่องตลาดบางส่วน แต่ไม่กระทบปัจจัยพื้นฐานของบจ.  ให้ติดตามสถานการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจต่างประเทศถดถอย และการเลือกตั้งในไทย หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างมีเสถียรภาพก็จะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทย กลุ่มเด่นต้อง Domestic plays  น่าสนใจกลุ่มค้าปลีก, อาหาร, ธนาคาร, ขนส่ง และท่องเที่ยว

*KS เป้าดัชนี SET กรณีดีสุด 1,946 เลวร้ายสุดตกไปถึง 1,475  

บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ฯมีมุมมองบวกอย่างระมัดระวังต่อดัชนี จากเป้าสิ้นปี 2566 ที่ 1,757 จุด อิงจาก EPS ปี 2567 ที่ 113 บาท และ PER ที่ 15.55 เท่า (-0.5SD) หากเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ มองว่าทวีปเอเชียและประเทศไทยจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่า จากความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยน้อยกว่าสหรัฐ และยุโรป คาดเศรษฐกิจไทยจะเติบโตขึ้น 3.7% และอัตราเงินเฟ้อที่คาดจะเข้าหาเป้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยตั้งไว้ที่ 1-3%

กรณีดีที่สุด คาดว่า SET Index จะอยู่ที่ 1,946 จุด คำนวณด้วย PER ที่ 17.22 เท่า (-0.5SD) หรือสะท้อนสถานการณ์ที่เศรษฐกิจโลกไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อแนวโน้มลดลง

กรณีเลวร้ายที่สุด คาด SET Index ที่ 1,568 จุด คำนวณด้วย PER ที่ 13.88 เท่า (-1.5SD) หรือสะท้อนว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ระดับสูงมาก และธนาคารกลางทั่วโลกรวมทั้งธนาคารกลางแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเชิงรุกในปี 2566 ในกรณีที่มีปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ทวีความรุนแรงมากขึ้น คาดว่า SET Index จะลงมาอยู่ที่ 1,475 จุด

แนวโน้มการลงทุนยังขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก คาดว่ากลุ่มที่มีรายได้ระดับสูงจะทำได้ดีกว่ากลุ่มที่มีรายได้ปานกลาง ตามสภาวะเศรษฐกิจรูปแบบ K-shaped การอัดฉีดเงินทั่วโลก (รวมถึงประเทศไทย) ส่งผลให้กำลังซื้อของกลุ่มผู้มีรายได้ระดับสูงแข็งแกร่งกว่า ทั้งในแง่ของความสามารถในการรับมือกับภาวะเงินเฟ้อระดับสูงได้ดีกว่า หรือสภาวะเงินเฟ้อที่อาจจะตึงตัวต่อเนื่องในปี 2566

โดยมองหุ้นเด่นคือ BCP, PRM, KTB, BAM, SC, AAI, CPN, CRC, BDMS, MINT, ADVANC และ TEGH