บล.บัวหลวงแนะเพิ่มพอร์ต เชียร์ 10 หุ้นเด่น เป้าขาย 1,811 ครึ่งปีหน้า

HoonSmart.com>>บล.บัวหลวงชวนเติมเงินเพิ่มพอร์ตลงทุน มองเป้าดัชนีวิ่งพรวดถึง 1,811 จุดในช่วงครึ่งปีแรก แนะนำ 10 หุ้นเด่น AMATA,AOT,BBL, BEM,BJC,COM7,GPSC,GULF,TISCO,WHA ลดน้ำหนักกลุ่มพลังงาน-โรงกลั่น-ปิโตรเคมี-อาหาร-ประกัน ส่วนกลุ่มการเงินสินเชื่อบุคคลยังไม่แนะนำ แม้ราคาลงมามาก ตลาดไม่เชื่อเรื่องคุณภาพหนี้ สำหรับกลุ่มปตท. ทำได้แค่เทรดดิ้ง

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง เปิด“มุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 66 พร้อมวิเคราะห์กลุ่มหุ้นเด่น และธีมการลงทุนที่มาแรงต้อนรับปีกระต่าย” ว่า แนวโน้มตลาดหุ้นจะสดใส ให้เป้าหมายดัชนีระดับ 1,811 จุดในครึ่งปีแรก โดยแนะนำให้นักลงทุนทยอยเติมเงิน 3- 4 ก้อน เพิ่มพอร์ตลงทุนได้ตั้งแต่ปัจจุบันต่อเนื่องถึงในช่วงเดือนมี.ค. เพิ่มน้ำหนักการลงทุนกลุ่มธนาคาร กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มสื่อ กลุ่มท่องเที่ยว และขนส่ง โดยเฉพาะทางอากาศจะดีขึ้น รับเงินลงทุนไหลเข้าและนักท่องเที่ยวเข้ามามากขึ้นถึง 20 ล้านคน จากปีนี้จะเข้ามาประมาณ 10 ล้านคน ส่วนกลุ่มการเงินที่ให้บริการสินเชื่อบุคคล แม้ราคาหุ้นปรับตัวลงมาก แต่ตลาดไม่เชื่อเรื่องคุณภาพหนี้ และต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น  จึงยังไม่แนะนำให้ซื้อ

“แนะนำการจัดพอร์ตลงทุนในปี 2566 ให้เพิ่มน้ำหนักกในหุ้นกู้, กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงหุ้นไทย, จีน และสหรัฐฯ มากขึ้น นักลงทุนอย่าท้อแท้หรือคัทลอสแล้ว หลังจากปีนี้ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ติดลบหนัก  จากสถิติที่ผ่านมา ปีไหนหุ้นทรุดตัวแรง มักจะเด้งกลับแรงเช่นเดียวกันกว่า 100% ในช่วงเวลา 1-2 ปี ดังนั้นในปีหน้าจึงมองตลาดหุ้นจะขึ้นแรง หรือหากจะปรับตัวลงคงไม่ต่ำกว่า 1,500 จุด อาจจะมีเซอร์ไพรส์จากจีน ดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและการเปิดประเทศให้ประชาชนออกมามากขึ้น ตลาดหุ้นเอเชียน่าจะดีที่สุด  ส่วนไทยดี จากเศรษฐกิจเติบโต เงินเฟ้อต่ำ และคาดว่าธปท.จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างช้าๆ จาก 1% แตะ 2% ในปี 2566 รองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ”นายชัยพรกล่าว

ปัจจัยที่สนับสนุนตลาดหุ้นไทย คาดกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 111.80  บาท เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่ 105.2 บาทแต่ไม่น่าจะถึง เศรษฐกิจจะเติบโต 4.3% ดีขึ้นจากปีนี้คาดขยายตัว 3.4% เงินเฟ้อเหลือเพียง 1.6 % เทียบกับปีนี้ที่ 6.3% ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นอยู่ที่ 32.8 บาท/ดอลลาร์จากปีนี้คาดการณ์ที่ระดับ 34.5 บาท ระหว่างปีเคยอ่อนถึง 38 บาท เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัดพลิกกลับมาเกินดุล จากภาคการท่องเที่ยว มีอัพไซด์เซอร์ไพรส์ ส่งออกขยายตัว 6.5% กลับสู่ภาวะปกติ หรือลดลงเล็กน้อยจากฐานสูงในปี 2565 และการลงทุนเติบโต 4.4%

นายชัยพรกล่าวว่า หุ้นเด่นที่แนะนำซื้อ ได้แก่ AMATA,AOT,BBL, BEM,BJC,COM7,GPSC,GULF,TISCO ส่วน WHA แนะนำถือ ขณะเดียวกันลดน้ำหนักหุ้นกลุ่ม พลังงาน โรงกลั่น ปิโตรเคมี อาหาร และประกัน สำหรับกลุ่มปตท.ที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมามาก มีเงินปันผล ทำได้เพียงเทรดดิ้ง คาดราคาน้ำมัน WTI เคลื่อนไหวใกล้ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล คงไม่ขึ้นไปถึง ถึง 120-130 เหรียญ

ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้เศรษฐกิจจะขยายตัว 1% และอาจมีความเสี่ยงเข้าสู่เศรษฐกิจถดถอย (มอง Downside ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจหดตัว 0.5%)
แต่เชื่อว่าดัชนีตลาดหุ้น S&P500 จะไม่ปรับตัวลงลึกมากจากระดับปัจจุบัน เนื่องจากตลาดหุ้นรับรู้ประเด็นนี้ไปตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมาแล้ว สะท้อนผ่านดัชนีตั้งแต่ต้นปีลงไปลึกสุด 25% ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยเชิงสถิติ ขณะที่ดัชนี NASDAQ ตั้งแต่ต้นปีร่วงลงไปต่ำสุด 31% ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลังที่ 35% ในช่วงเศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย Recession  ค่า P/E ดัชนี S&P500 ก็อยู่ใกล้ค่าเฉลี่ยประมาณ 16-17 เท่า สำหรับเศรษฐกิจยุโรปคาดติดลบ 0.5% หลังความตึงเครียดระหว่างยุโรปและยูเครนส่งผลกระทบต่อราคาพลังงาน

ทั้งนี้หนึ่งปัจจัยท้าทายในปี 2566 คือ ต้องจับตาดูเรื่องราคาสินค้าโภคภัณฑ์ว่าจะกลับมาสร้างปัญหาอีกหรือไม่ หากจีนมีการเปิดประเทศอย่างเต็มตัวจนดันเงินเฟ้อขึ้นสูงอีกครั้ง ทั้งนี้คาดการณ์เศรษฐกิจในปีหน้าจะเติบโต 5-5.5% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยังไม่สะท้อนการกลับมาเปิดประเทศอย่างเต็มตัว

แนะนำการจัดพอร์ตลงทุนในปี 2566 ให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกู้, กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงหุ้นไทย, จีน และสหรัฐฯ มากขึ้น