“บล.พาย” ยกสถิติย้อนหลังตลาดหุ้น 2 สัปดาห์สุดท้ายปรับตัวขึ้น ชูกลุ่ม Domestic

HoonSmart.com>> “บล.พาย” มองหุ้นสัปดาห์นี้เงียบ วอลุ่มบาง ยกสถิติปี 2561-2564 ตลาดหุ้น 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีต่ำ “มูลค่าซื้อขาย “กว่าค่าเฉลี่ยทั้งปี ด้านผลตอบแทนช่วง 2 สัปดาห์สุดท้าย ปรับขึ้นมากกว่าปรับลง ยกเว้นปี 2561 พร้อมประเมินการเคลื่อนไหวทั้งสัปดาห์นี้ 1600 – 1640 จุด เน้นหุ้น Domestic ค้าปลีก สื่อสารท่องเที่ยว ขนส่ง โรงไฟฟ้า ร้านอาหาร หุ้นเด่นแนะ BBL-RATCH

บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ พาย (Pi) “พาย” เผยตลาดหุ้น Dow Jones วันศุกร์ปิดลบ 0.85% ปัจจัยกดดันยังคงมาจากความกังวลเศรษฐกิจถดถอยที่จะเกิดขึ้นหลัง FED เดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ย ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ลดลง 2.7% ถูกกดดันจากความกังวลเศรษฐกิจถดถอยจะกดดันอุปสงค์น้ำมัน

สัปดาห์นี้เชื่อว่าบรรยากาศการลงทุนจะเริ่มเงียบและมูลค่าการซื้อขายก็อาจจะเบาบางไปด้วย เนื่องจากภาพรวมการลงทุนหมดปัจจัยใหญ่ๆ อย่างสัปดาห์ก่อนก็มีเงินเฟ้อสหรัฐฯและประชุม FED

ขณะที่สัปดาห์นี้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่มีผลต่อการลงทุนกลางๆ อาทิ (1) ในคืนวันอังคารราว 20.30 จะมีการรายงานยอดสร้างบ้านใหม่ของสหรัฐฯ และใบอนุญาตก่อสร้าง Bloomberg Consensus คาดที่ 1.4 ล้านหลังคาเรือนและ 1.48 ล้านใบอนุญาต

(2) ในวันพุธจะมีการรายงานความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ CB Bloomberg คาดที่ 101 (3) เงินเฟ้อ (PCE) ในวันศุกร์ช่วง 20.30 Bloomberg คาดเงินเฟ้อทั่วไปขยายตัว 5.5%YoY 0.1%MoM เงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัว 4.7%YoY หากประกาศมาแล้วต่ำกว่าตลาดคาดการณ์อาจเป็นแรงหนุนให้กับตลาดหุ้นได้

ทั้งนี้ หากอิงมูลค่าการซื้อขายของ SET INDEX ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2561-2564 พบว่า 2 สัปดาห์สุดท้ายของ SET INDEX มักต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งปี หากประเมินที่ปี 2561 พบว่ามูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ 5.6 หมื่นล้านบาทแต่ 2 สัปดาห์สุดท้ายของ ธ.ค.2561 อยู่ที่เพียง 3.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่ปี 2562 พบว่าทั้งปีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 5.2 หมื่นล้านบาทแต่พบว่า 2 สัปดาห์สุดท้ายของ ธ.ค. ของปี 2562 อยู่ที่เพียง 3.4 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตามสำหรับปี 2563 พบว่าเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 6.7 หมื่นล้านบาทแต่ 2 สัปดาห์สุดท้ายของ ธ.ค. กลับสูงถึง 9.5 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ดีเชื่อว่าส่วนนึงมาจากแรงเก็งกำไรเพราะช่วงนั้นทั่วโลกเริ่มประกาศค้นพบ Vaccine COVID-19 ส่วนปี 2564 ทั้งปีเฉลี่ยอยู่ที่ 8.8 หมื่นล้านบาท ส่วนค่าเฉลี่ย 2 สัปดาห์สุดท้ายลดลงมาอยู่ที่ 6.68 หมื่นล้านบาท

ในแง่ของผลตอบแทนช่วง 2 สัปดาห์สุดท้าย โดยสถิติแล้วมักปรับขึ้นมากกว่าปรับลง (ปี 2562 – 2564) มีเพียงปี 2018 ที่ 2 สัปดาห์สุดท้ายมีวันทำการ 7 วันแต่เป็นบวกเพียง 2 วันอีก 5 วันปรับลดลง ประเมินการเคลื่อนไหวทั้งสัปดาห์ 1600 – 1640

เชิงกลยุทธ์การลงทุน Trading ระยะสัปดาห์ได้จากสถิติที่ดูเป็นบวกเน้นหุ้น Domestic อาทิ ธนาคาร (BBL, KBANK, SCB, TTB, TISCO) ค้าปลีก (BJC, HMPRO) สื่อสาร (ADVANC, INTUCH) ท่องเที่ยว (AOT, CENTEL, ERW, MINT, SPA) ขนส่ง (BEM) โรงไฟฟ้า (BGRIM, GSPC ,GULF, RATCH) ร้านอาหาร (M)

หุ้นเด่น BBL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 171.00 บาท) แนวทางสำหรับไตรมาส 4/22 และปี 2022 คือ 1) คาดการเติบโตของสินเชื่อไตรมาส 4 จะทรงตัว QoQ จากการเติบโตของสินเชื่อทั้งปีที่ราว 8% (4%-6% ก่อนหน้านี้) 2) NIM ที่คาดว่าจะปรับดีขึ้นต่อเนื่องหนุนจากการปรับเพิ่มดอกเบี้ย แต่น่าจะเป็นการเติบโตระดับปานกลาง 3) คาดการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิที่ต่ำกว่าตัวเลขแนวทางบริษัทที่ 0% (น่าจะติดลบ) 4) ประเมินอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ที่ 50% ต้นตามเดิม

RATCH (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 55.00 บาท) ภาพรวมระยะยาวดูสดใส เพราะบริษัทมีโครงการในแผนการอยู่ 2.4GW ที่จะเดินเครื่องในปี 2566-2569 ซึ่งจะช่วยขยายกำลังการผลิตขึ้นเป็น 10.7GW ภายในปี 2569 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 8.3%