DTCENT ผู้นำ GPS ติดตามรถยนต์ – หุ้นไอซีที Growth Stock

HoonSmart.com>>DTCENT หุ้นไอซีที Growth Stock ฐานทุนแน่น ไร้หนี้ – คาดปี 66 กำไรพุ่ง 118%

ทศพล คุณะเพิ่มศิริ

DTCENT …ผู้นำ GPS Tracking 

ธนาคารแห่งประเทศไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดย GDP จะขยายตัว 3.3% ในปี 2565 และ 4.2% ในปี 2566 จากการบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัว รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามการเปิดประเทศ ซึ่งปัจจุบันทั้งภาครัฐและเอกเชน มีแนวโน้มที่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยบริหารจัดการในระบบ Supply chain ให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งรวมไปถึงการนำอุปกรณ์ GPS Tracking และ Software ระบบการบริหารการขนส่งเข้ามาช่วยจัดการวางแผน จึงถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจดังกล่าวที่จะได้รับประโยชน์ไปด้วย

ทั้งนี้ บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์  (DTCENT) ผู้นำธุรกิจการเป็นผู้ออกแบบ วิจัย พัฒนา จัดจำหน่าย และให้บริการอุปกรณ์ติดตามยานพาหนะ (GPS Tracking) และพัฒนาระบบไอโอที (IoT Solution) แล ะ Artificial Intelligence (AI) ครบวงจร รวมถึงวิจัยและพัฒนาระบบซอฟต์แวร์เพื่อการบริหารการขนส่ง และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ขณะที่ DTCENT เป็นบริษัทฯ ที่มีสินค้า บริการ และ Solution ที่ครบวงจร ซึ่งมีการให้บริการรถที่ติด GPS ที่เชื่อมต่อกับระบบกรมการขนส่งทางบกมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ระดับ 9.1% นอกจากธุรกิจ GPS Tracking แล้ว กลุ่มบริษัทฯ มีแผนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นใหม่ ที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อเป็นระบบอัจฉริยะในกลุ่มงาน IoT อันประกอบด้วย ระบบบริหารจัดการน้ำ, ระบบ SMART CITY SOLUTION หรือระบบบริหารการจัดการองค์กรส่วนท้องถิ่น, BAMS (Business Activity Management System), BIM (Building Information Modeling), EV Platform, Logistics Demand-Supply Matching Platform และระบบ AI สำหรับงาน IoT

“ทศพล คุณะเพิ่มศิริ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดี.ที.ซี. เอ็นเตอร์ไพรส์  (DTCENT) กล่าวว่า แนวโน้มของอุตสาหกรรมการขนส่งจากนี้ไปจะยังเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ ต้องเตรียมความพร้อมในการเพิ่มศักยภาพแหล่งทุนให้มีความหลากหลาย เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต ดังนั้น การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จึงเป็นทางเลือกที่ดี สามารถผลักดันการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

เข้าตลาดหุ้น หนุนการเติบโต 

วัตถุประสงค์การเข้าระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อนำเงินที่ได้ไปใช้ในการลงทุนสร้างศูนย์บริหารจัดการและบริการข้อมูลยานพาหนะ (Vehicle Monitoring and Support Center) และ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ โดยภายหลังจากการระดมทุนจะทำให้บริษัทฯ มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของคู่ค้า ลูกค้า ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งมีฐานทุนที่มั่นคงและด้วยแนวโน้มของธุรกิจที่ยังสามารถเติบโตได้อีกมากในอนาคต จากความต้องการใช้บริการ GPS พร้อมด้วย การพัฒนากลุ่มงาน IoT เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการ ทั้งภาครัฐและเอกชนได้เพิ่มขึ้น สนับสนุนรายได้และกำไรในอนาคตเติบโตได้เป็นอย่างดี

ที่ผ่านมา DTCENT ได้เสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 305 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 25.31% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด ในราคาหุ้นละ 2.86 บาท และคาดว่า เข้าซื้อขายใน SET ได้ภายในวันที่ 15 ธันวาคมนี้ โดยใช้ชื่อย่อซื้อขาย คือ “DTCENT” ในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)

ขายหมดเกลี้ยง 305 ล้านหุ้น 

“ผลการเสนอขายหุ้นไอพีโอในครั้งนี้ 305 ล้านหุ้น  ได้รับความสนใจจากนักลงทุนจองซื้อเต็มจำนวน เนื่องจากนักลงทุนเชื่อมั่นปัจจัยพื้นฐานของ DTCENT ในฐานะผู้นำระบบติดตามยานพาหนะ GPS Tracking อันดับ 1 ในประเทศไทย รวมทั้งราคาหุ้นที่เสนอขายอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีการออกแบบและพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ด้วยตัวเอง รวมทั้งการพัฒนา IoT Solution และ AI ได้ตามความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้มีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่อง”ทศพล กล่าว

ทั้งนี้ ภาพรวมผลการดำเนินงานย้อนหลังในปี 2562 ถึง 2564 และงวด 9 เดือน 2565 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 810.94 ล้านบาท 639.38 ล้านบาท 591.53 ล้านบาท และ 479.72 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มีกำไรสุทธิในปี 2562 ถึง 2564 และงวด 9 เดือนปี 2565 เท่ากับ 166.49 ล้านบาท 109.12 ล้านบาท 77.24 ล้านบาท และ 52.39 ล้านบาท ตามลำดับ

ส่วนอัตรากำไรสุทธิในปี 2562 ถึง 2564 และงวด 9 เดือน 2565 ในอัตรา 20.53%,17.07%,13.06% และ10.92% ตามลำดับ ซึ่งในงวด 9 เดือนปี 2565 บริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิลดลงจากในงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มสูงขึ้น จากการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้น และกลุ่มบริษัทฯอยู่ระหว่างการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายค่าบริการต่างๆ เพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นเท่านั้น

นอกจากนี้ หากพิจารณาสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำกว่า 1 เท่ามาโดยตลอด และอัตราส่วนหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน (Net IBD/E) ติดลบ 0.4-0.5 เท่า ซึ่งทำให้ DTCENT เป็นบริษัทฯ ที่มีสถานะ Net cash position ดังนั้น ด้วยฐานะการเงินไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุน และการเพิ่มทุนไอพีโอในครั้งนี้ จะช่วยให้บริษัทสามารถรับงานโครงการขนาดใหญ่ได้ ช่วยเพิ่มเงินทุนหมุนเวียน และช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือ และภาพลักษณ์ที่ดีต่อองค์กร ซึ่งมีส่วนในงานได้รับงานโครงการในระยะข้างหน้าอีกด้วย

พันธมิตรแข็งแกร่ง

หากพิจารณาแผนการลงทุนในอนาคต เมื่อฐานทุนพร้อมสามารถเติมเต็มศักยภาพ และมีพันธมิตรยักษ์ใหญ่ 2 ราย คอยให้การสนับสนุน ร่วมพัฒนาธุรกิจจะทำให้ DTCENT เดินหน้าต่อยอดธุรกิจได้ในทันที โดยบริษัทฯ คาดว่าจะมีการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า ซึ่งมีแผนบุกตลาด IoT Solution และเทคโนโลยี AI ร่วมกับ 2 พันธมิตรยักษ์ใหญ่ ได้แก่

บริษัท ยาซากิ เอ็นเนอร์จี ซิสเท็ม คอร์ปอเรชั่น (YES) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น DTCENT สัดส่วน 18% โดย YES ถือเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนสำหรับยานพาหนะ เช่น สายรัดสายไฟ มิเตอร์ สายไฟฟ้าอุปกรณ์เบรคเป็นอันดับ 1 ของญี่ปุ่น มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ผลิตและจำหน่ายรถยนต์ค่ายญี่ปุ่น จะช่วยสนับสนุนให้บริษัทฯ ขยายธุรกิจในส่วนของอุปกรณ์ติดตามยานพาหนะแบบ OEM ไปสู่ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทฯ ในการขยายธุรกิจไปยังตลาดต่างประเทศ โดยบริษัทฯ ในเครือของ YES มีจำนวน 140 บริษัทใน 45 ประเทศทั่วโลก

บริษัท บุญรอด ซัพพลายเชน จำกัด (BRS) ถือหุ้นในสัดส่วน 15 % ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบุญรอดบริวเวอรี่ ผู้นำในธุรกิจเครื่องดื่มในไทย มีบริษัทในเครือมากมายสามารถเป็นฐานลูกค้า GPS กลุ่มใหม่ๆ ให้บริษัทฯ ได้ รวมถึงใช้เครือข่ายของ BRS เพิ่มศักยภาพในด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data analytics) และพัฒนาผลิตภัณฑ์ Supply chain solutions ใหม่ๆ หรือนำเสนอนโยบายส่งเสริมเมืองอัจฉริยะให้หน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นได้ บริษัทฯ สามารถช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้แก่ กลุ่มผู้ประกอบการโลจิสติกส์ต่างๆ รวมถึงหาโอกาสในการขยายไปยังธุรกิจอื่น เพื่อเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจให้แก่กลุ่มบริษัทในอนาคต

จากแผนการลงทุนในอนาคตจะช่วยให้ DTCENT สามารถผลักดันให้ความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับการที่โบรกเกอร์ได้ประเมินความสามารถในการทำกำไรในช่วง 3 ปีข้างหน้ามีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 50% โดยเฉพาะในปี 2566 จะเติบโตสูงสุดถึง 118% จากงวดเดียวกันปีก่อน

โบรกเกอร์เคาะเป้าหมาย 3.20-3.30 บาท 

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุว่า DTCEN เป็นบริษัทฯ มีสินค้า บริการและ Solution ที่ครบวงจร เริ่มตั้งแต่ การออกแบบสินค้า พัฒนาสินค้าทั้ง Hardware, Software และ Application ตลอดจนการซ่อมบำรุงหลังการขาย บริษัทดำเนินธุรกิจนานกว่า 25 ปี มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ มีความเข้าใจลูกค้าเป็นอย่างดี มีลูกค้ากระจายอยู่ในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม โดยมีลูกค้าหลักคือกลุ่มที่ประกอบธุรกิจขนส่งสินค้า

ฝ่ายวิจัยได้คาดกำไรสุทธิปี 2565 ฟื้น 31.8% จากปีก่อน และก้าวกระโดด 118.7% ในปี 2566 และโตต่อเนื่อง 5.2% ในปี 2567 คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย 51.7% CAGR (2565-2567) จากธุรกิจหลักเดิม และการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ รวมการเพิ่มขึ้นของโครงการ IoT โดยอาศัยประสบการณ์กว่า 25 ปี ของบริษัทและพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างกลุ่มยาซากิและเครือบุญรอด ขณะเดียวกันอัตรากำไรสุทธิคาดว่าจะเพิ่มจาก 14 % ในปี 2565 เป็น 18.0-18.7% ในปี 2566-2567 ความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ ROE และ ROA ปรับตัวดีขึ้นสอดคล้องกัน

นอกจากนี้ ได้ประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมสำหรับปี 2566 ที่ 3.20 บาทอิง PE 17.0 เท่า ไม่มีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์รายใดที่ทำธุรกิจเหมือนกับ DTC อิงผู้ประกอบการในโลกที่ประกอบธุรกิจใกล้เคียงกับบริษัท ซึ่งมีค่า PE เฉลี่ยในปี 2566 ที่ 17.8 เท่า โดยหลายรายมีความสามารถในการทำกำไรไม่เทียบเท่าบริษัท ขณะที่ค่าเฉลี่ย ROE ใกล้เคียงกัน

เช่นเดียวกับ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุการคาดการณ์กำไรปี 2565-66 ราว 106 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 38% จากปีก่อน และ 165 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% ตามลำดับ หรือเติบโตเฉลี่ย CAGR 46% ต่อปี ขณะที่คาดการณ์รายได้ปี 2565-66 ราว 702 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากงวดเดียวกันปีก่อน และ 977 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากงวดเดียวกันปีก่อน ตามลำดับ หรือเติบโตเฉลี่ย CAGR 29% ต่อปี โดยมีปัจจัยเติบโตจากธุรกิจ GPS Tracking ฟื้นตัวตามสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายลง ขณะที่ รายได้จากกลุ่มบริษัทย่อยที่จำหน่าย Software และ Application ใหม่ปีนี้ และกลุ่มงาน IoT Solution ของภาครัฐเริ่มเปิดประมูลมากขึ้น ส่วนสมมติฐาน %GPM คาดที่ระดับ 49-50%

ฝ่ายวิจัยได้ประเมินราคาเหมาะสม DTCENT ด้วยวิธี Prospective PER เทียบกับกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการอุปกรณ์และระบบ Global Positioning System (GPS) ที่ระดับ 24 เท่า ซึ่งเป็นระดับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ประกอบกับคาดกำไรสุทธิต่อหุ้น ปี 2566 ราว 0.14 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมราว 3.30 บาทต่อหุ้น

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็น DTCENT ถือเป็นหุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูงทั้งรายได้และกำไรในระยะ 3 ปีข้างหน้า ดังนั้น น่าจะเป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติครบการเป็นหุ้นไอซีที Growth Stock สร้างผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่อง และขึ้นแท่นหุ้นขวัญใจนักลงทุนได้อย่างแน่นอน