“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” คาดกนง.ประชุม 30 พ.ย.ขึ้นดอกเบี้ย 0.25%

HoonSmart.com>> “ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” คาดกนง.ประชุม 30 พ.ย. นัดสุดท้ายของปี 65 ทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 1.25% ท่ามกลางแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่เศรษฐกิจเริ่มอยู่ในเส้นทางการฟื้นตัว ด้านเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่า กนง.เผชิญแรงกดดันค่าเงินลดลง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประชุม 30 พ.ย.นี้ ครั้งสุดท้ายของปีนี้จะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% แตะ 1.25% ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อยังอยู่ระดับสูง แม้ตัวเลขเงินเฟ้อคาดว่าจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในเดือนส.ค. ที่ผ่านมาและเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรงลง ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือนต.ค. ที่ผ่านมาลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน แต่ยังคงอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายของกนง. โดยอยู่ที่ระดับ 5.98% YoY ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานเร่งขึ้นมาจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อยโดยอยู่ที่ระดับ 3.17% YoY สะท้อนราคาสินค้าในภาพรวมยังคงเร่งตัวสูงขึ้น แม้แรงกดดันเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเริ่มลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก

ขณะที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่องหลังจากในไตรมาส 3/2565 เศรษฐกิจไทยขยายตัวถึง 4.5% YoY โดยการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวจะยังคงเป็นแรงหนุนหลักของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า

ดังนั้น จากแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง คงส่งผลให้กนง. พิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 ในการประชุมที่จะถึงนี้ ซึ่งกนง. คงจะทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวและยังมีความเปราะบางจากหนี้ในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ขณะที่แรงกดดันจากประเด็นด้านค่าเงินนั้นเริ่มมีลดลง หลังจากค่าเงินบาทพลิกภาพมาแข็งค่าขึ้นตามการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ฯ เนื่องจากตลาดคาดว่าเฟดอาจเริ่มชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยหลังตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาอ่อนแรงกว่าคาด

ทั้งนี้ ในปีหน้า เส้นทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยของกนง. คงขึ้นอยู่กับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ความต่อเนื่องของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงทิศทางการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางหลักอย่างเฟดเป็นสำคัญ โดยมีความเป็นไปได้ที่กนง. อาจชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในระยะข้างหน้า ซึ่งดอกเบี้ยนโยบายของไทยคงไปแตะระดับสูงสุดที่ราว 1.75-2.00% ในปีหน้า ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่มีมากขึ้นจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งคงส่งผลกระทบต่อไปยังภาคการส่งออกของไทยให้ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ อุปสงค์ภายในประเทศมีแนวโน้มอ่อนแรงลง เนื่องจากอานิสงส์ของอุปสงค์คงค้างจากในช่วงก่อนหน้าคงค่อยๆ หายไป ขณะที่คงเห็นผลกระทบจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้นต่อกำลังซื้อมากขึ้นในปีหน้า ในขณะเดียวกัน แรงกดดันด้านเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะค่อยๆ อ่อนแรงลง โดยแม้ว่าจะมีความเสี่ยงที่ราคาพลังงานในตลาดโลกอาจปรับสูงขึ้นอีกเนื่องจากการขาดแคลนพลังงานในยุโรปในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง แต่คาดว่าราคาพลังงานรวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ในตลาดโลกคงจะปรับลดลงมาได้หลังไตรมาส 1/2566 ตามอุปสงค์โลกที่ชะลอลง ซึ่งแรงกดดันเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มแผ่วลงคงจะส่งผลให้ธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงเฟดกลับมาให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากขึ้น โดยหากเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับลดลงมาอย่างชัดเจนในระยะข้างหน้า

ขณะที่เศรษฐกิจรวมถึงตลาดแรงงานสหรัฐฯ ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ เฟดคงชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งต่อๆ ไปและอาจหยุดการปรับขึ้นดอกเบี้ยได้ภายในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า ซึ่งคงจะส่งผลให้ปัจจัยสนับสนุนค่าเงินดอลลาร์ฯ นั้นมีน้อยลงและส่งผลต่อไปยังค่าเงินบาทให้อาจพลิกภาพมาแข็งค่าได้ ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อกนง. ด้านค่าเงินอีกทางหนึ่ง

ดังนั้น จากความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่มีมากขึ้น ประกอบกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและค่าเงินที่ลดลง กนง. คงกลับมาให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยลงและหยุดการปรับขึ้นดอกเบี้ยภายในปีหน้า

อย่างไรก็ดี หากเงินเฟ้อคาอยู่ในระดับสูงยาวนานกว่าที่คาดและหากเฟดยังคงมุมมองแข็งกร้าวยาวนานกว่าที่คาด กนง. คงเผชิญความท้าทายในการดำเนินนโยบายทางการเงินมากขึ้นท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยกนง. อาจจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายมากกว่าคาด