“คิงส์ฟอร์ด” แนะ BGRIM-SCGP

HoonSmart.com>> บล.คิงส์ฟอร์ด คาดแนวโน้มดัชนีปรับฐาน แนวรับ 1,600 – 1,610 จุด แนวต้าน 1,620 จุด จากความกังวลกรณีหุ้น MORE แนะทยอยซื้อกลุ่มค้าปลีก CPALL, MAKRO, BJC, HMPRO สื่อโฆษณา PLANB, VGI กลุ่มอาหาร ICHI, CBG, RBF คาดกำไร Q4/65 ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่น BGRIM, SCGP

บริษัทหลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด ประเมินดัชนี SET มีโอกาสปรับฐานมาที่แนวรับ 1,600 – 1,610 จุด แนวต้าน 1,620 จุด จากความกังวลกรณีหุ้น More แนะนำทยอยซื้อกลุ่มค้าปลีก CPALL, MAKRO, BJC, HMPRO สื่อโฆษณา PLANB, VGI กลุ่มอาหาร ICHI, CBG, RBF คาดกำไร Q4/65 ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ

หุ้นแนะนำ ได้แก่ BGRIM (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 42.50 บาท) เลือกหุ้นกลุ่ม Defensive อย่างโรงไฟฟ้า SPP ระยะถัดไปคาดว่าจะได้ปัจจัยหนุนจากต้นทุนก๊าซฯ ที่ทยอยลดลงจากสัดส่วนการใช้ก๊าซฯ ในอ่าวไทยเพิ่มขึ้น และการนำเข้า Spot LNG ลดลง นอกจากนี้ยังได้รับผลบวกจากการประกาศปรับขึ้นค่า Ft งวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.+0.6866 บาท/หน่วย เต็มไตรมาส ประกอบกับเงินบาทที่แข็งค่าจะทำให้มีกำไรจาก FX

ส่วนปี 66 คาดภาระต้นทุนก๊าซฯ ทยอยลดลง YoY จากฐานสูง ขณะที่ค่า Ft มีโอกาสถูกปรับเพิ่ม หรือคงค่าไว้ก่อน เพื่อลดภาระหนี้ของ EGAT ส่วนความคืบหน้าโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง โรงไฟฟ้า SPP replacement 4 โครงการ (ABP1R, ABP2R และ BGPM1&2R) กำลังผลิตไฟฟ้ารวม 560MW มีกำหนดการ COD ใน 4Q65 และโรงไฟฟ้า SPP ใหม่อีก 2 โครงการ (BGPAT2 และ BGPAT3) กำลังผลิตไฟฟ้ารวม 280 MW มีกำหนดการ COD ในปี 66

หุ้น SCGP (ซื้อสะสม / ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 60.25 บาท) ภาพรวมการดำเนินงานในช่วงถัดไปมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้นจากรายได้ที่เติบโตทั้งจาก organic growth และ M&Ps (3Q65 – Peute, Jordan) รวมไปถึงการ reopening ของจีน ขณะที่ฝั่งต้นทุน แม้ต้นทุนพลังงานโดยเฉพาะถ่านหินจะยังอยู่ในระดับสูง แต่ต้นทุนวัตถุดิบอย่างกระดาษรีไซเคิลเป็นภาพของการอ่อนตัวลงมา

สำหรับผลประกอบการระยะยาว เราคาดว่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้นจาก 1.การเน้นเข้าใกล้กับกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น(downsteam business มีสัดส่วนรายได้ใน 1H65 ที่ 37% จากราว2ปีก่อนที่ 30%) 2.การเติบโตในตปท. และ 3.ธุรกิจที่เพิ่มเติมเข้ามาอย่าง อุปกรณ์ทางการแพทย์(เช่น หลอดทดลองในห้องแล็ป/ Deltalab), Food service packaging(go-pak), และ ธุรกิจรีไซเคิล(Peute, Jordan) จะสามารถช่วยผลักดันมาร์จิ้นในระยะยาวได้ ทั้งนี้ตลาดคาด EPS ปี66 จะขยายตัวอยู่ที่ 2.04 บาท/หุ้น จากปี 65 นี้ที่ 1.68 บาท/หุ้น