BTG โชว์ครึ่งปีนี้กำไรพุ่ง 220% ปั๊มอัตรากำไรสุทธิ 7.2% จาก 2.7%

HoonSmart.com>>”เบทาโกร” บริษัทอาหารชั้นนำระดับสากลที่มีโมเดลธุรกิจเกษตรและอาหารครบวงจรครอบคลุมตลอดห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมเข้าซื้อขายใน SET 2 พ.ย. นี้ มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 77,392 ล้านบาท ชูประสบการณ์ 55 ปี กลยุทธ์มุ่งเน้นเพิ่มอัตรากำไรสุทธิ หนุนให้กำไรไตรมาส 2/65 พุ่งขึ้น 370% เป็น  1,868.91 ล้านบาท รวม 6 เดือน กำไร 3,838.94 ล้านบาท เพิ่ม 220% นโยบายจ่ายปันผล 30%

นายแมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัท เบทาโกร (BTG) เตรียมเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ที่มีมูลค่าเสนอขายสูงที่สุดในตลาดทุนไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2565

BTG มีทุนเรียกชำระแล้ว 9,674 ล้านบาท มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 5 บาท โดยเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป (IPO) 434.8 ล้านหุ้น และการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน 65.2 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 40 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 17,392 ล้านบาท (ไม่รวมหุ้นส่วนเกิน) และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 77,392 ล้านบาท ราคา IPO พิจารณาจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น ( P/E) 21.2 เท่า โดยมีบล. เกียรตินาคินภัทร และบล. บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น

BTG ประกอบธุรกิจ  การผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์ เวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ การทำฟาร์มเชิงพาณิชย์ การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อหมู เนื้อไก่ ไข่ไก่ และปลา ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมปรุงและพร้อมรับประทาน รวมไปถึงอาหารสัตว์เลี้ยง จำหน่ายในประเทศและต่างประเทศกว่า 20 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบันมีแบรนด์ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ อาหารแปรรูป และไส้กรอก ที่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย เช่น S-Pure, Betagro, ITOHAM และแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยง เช่น Perfecta, DOG n Joy และ CAT n Joy เป็นต้น

นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบทาโกร เปิดเผยว่า บริษัทมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ BTG จะได้เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของบริษัทในการมุ่งสู่การเป็นบริษัทอาหารชั้นนำระดับสากลที่ให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหารในราคาที่เป็นธรรม โดยเชื่อมั่นว่าความแข็งแกร่งด้านเงินทุน ประกอบกับประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจกว่า 55 ปี และปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของธุรกิจ จะเสริมให้บริษัทมีศักยภาพการเติบโตและการแข่งขันอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนทั้งในและต่างประเทศ

บริษัทฯ มีแผนจะนำเงินจากการระดมทุนไปเป็นทุนในการขยายธุรกิจตลอดห่วงโซ่คุณค่าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงการขยายกำลังการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต ตลอดจนชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินงานของบริษัท BTG มีนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการ

ทั้งนี้ หลัง IPO จะมีผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้แก่ บริษัท เบทาโกร โฮลดิ้ง ถือหุ้น 36.18% TAE HK Investment Limited ถือหุ้น 20.67% และกลุ่มครอบครัวแต้ไพสิฐพงษ์ 15% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว

ด้านผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 2/2565 บริษัทฯมีกำไรสุทธิถึง 1,868.91 ล้านบาทหรือ 1.25 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 1,471 ล้านบาท พุ่งขึ้น 370% จากที่ทำได้จำนวน 397.53 ล้านบาทหรือ 0.66 บาทต่อหุ้น รวม 6 เดือนแรกปีนี้มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 3,838.94 ล้านบาท เท่ากับ 2.56 บาทต่อหุ้น เพิ่ม 2,639.94 ล้านบาทหรือประมาณ 220 % จากจำนวน 1,199.32 ล้านบาทหรือ 2 บาทต่อหุ้นในช่วงเดียวกันปีก่อน

กำไรที่ดีขึ้นมากมาจากรายได้รวมจำนวน 54,193 ล้านบาท เติบโต 26.1%จากจำนวน 42,975.5 ล้านบาท หลักๆมาจากการเติบโตจากรายได้จากการขายสินค้าและการให้บริการของทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งจากบริมาณและราคาขาย ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของบริษัท ซึ่งเป็นไปมุ่งเน้นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง รวมถึงกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมากยิ่งขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 6,683.8 ล้านบาท เป็น 10,051.8 ล้านบาท คิดเป็นเท่ากับ 15.7 % เป็น 18.8% และอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 2.7% เป็น 7.2%

ส่วนผลงานปี 2564 มีกำไรสุทธิ 1,010.52 ล้านบาทหรือ 3.07 บาท ลดลงเทียบกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,360.65 ล้านบาทหรือ 7.87 บาทต่อหุ้น