Hoonsmart>>“ผู้ว่า ธปท.” มองการพัฒนา“นวัตกรรม”นอกจากเรื่องศักยภาพแล้ว ยังต้องคำนึงถึงการไม่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงต้องมุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนและลดความเหลื่อมล้ำ ธปท.พร้อมผสานความร่วมมือทุกภาคส่วนผลักดันการพัฒนา Responsible Innovation รวมถึงปรับลดกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาFintech เปิดกว้างรับผู้เล่นหน้าใหม่ เผยธปท.มีแผนออกใบอนุญาตตั้ง Virtual Bank ในอนาคต
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวในงาน BOT Digital Finance Conference 2022 “Unlocking Opportunities for Thailand with Responsible Financial Innovations” ระบุว่าในภาวะปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทาย 4 ประเด็นหลัก ได้แก่:
- การเติบโตทางเศรษฐกิจและผลิตภาพการผลิต (economic growth and productivity) ที่ต่ำ รวมทั้งการขาดความสามารถในการแข่งขัน
- การขาดภูมิคุ้มกัน (resiliency) ที่เพียงพอในการรับมือกับความผันผวนต่าง ๆ ในโลก ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจการเงินไทย
- การละเลยความสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งเห็นได้ชัดจากปัญหาหนี้ครัวเรือน
- ความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ในอดีต ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และผู้ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเน้นแก้โจทย์ข้อแรกเป็นหลัก แต่ปัจจุบันจำเป็นต้องพิจารณาให้รอบด้าน (holistic) โดยครอบคลุมอีก 3 ด้านที่เหลือมากขึ้น เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
ที่ผ่านมา “นวัตกรรม” เหมือนจะเป็นคำตอบสำคัญที่ภาคส่วนต่างๆ เห็นว่าจะเป็นพลังสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ประเทศไทยก้าวผ่านความท้าทายข้างต้น โดยเฉพาะการสร้างความเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่แท้จริงแล้ว เราไม่ควรพิจารณา “นวัตกรรม” จากเฉพาะแง่มุมของการเป็นสิ่งใหม่ที่ดูจะมีศักยภาพเท่านั้น แต่ต้องให้ความสำคัญกับการดูแลความเสี่ยงที่อยู่บนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวมด้วย หรือที่ ธปท. ขอเรียกว่า “นวัตกรรมที่มีการดูแลความเสี่ยงบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม (responsible innovation)”
Responsible innovation ในมุมมองของ ธปท. ต้องมี 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่:
- สามารถเสริมสร้างศักยภาพและ productivity ของเศรษฐกิจได้จริง
- ไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจการเงิน (เช่น นวัตกรรมต้องไม่ทำเพื่อหวังเก็งกำไร สร้างกระแส หรือหลอกลวงประชาชน)
- คำนึงถึงมิติความยั่งยืน (เช่น ไม่สร้างภาระหนี้จนเกินสมควรในระยะยาว)
- ช่วยสร้างความมั่งคั่งที่สังคมสามารถเข้าถึงและได้รับประโยชน์ร่วมกันได้อย่างทั่วถึง ไม่เหลื่อมล้ำ (shared prosperity) รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
ตัวอย่างของ responsible innovation เช่น
- โครงการ PromptPay ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ของระบบการชำระเงิน เปิดโอกาสให้ภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งระดับประชาชนและกิจการขนาดใหญ่หรือเล็ก สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินและโอกาสทางธุรกิจได้อย่างเท่าเทียมและยั่งยืนยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริม resiliency โดยเฉพาะในช่วง COVID-19
- โครงการ mBridge เป็นการทดลอง Wholesale CBDC ร่วมกับธนาคารกลางอื่นหลายแห่ง เพื่อแก้ปัญหาความไม่มีประสิทธิภาพ (inefficiency) ของการโอนเงินระหว่างประเทศ ทำให้สามารถโอนเงินได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ด้วยต้นทุนและความเสี่ยงด้านการชำระดุลที่ต่ำลง
- การทำ tokenization ของสินทรัพย์ทางการเงินต่างๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ หรือใบแจ้งหนี้ (invoice) แม้จะเป็นแนวคิดใหม่ แต่มีศักยภาพในการช่วยเพิ่มการเข้าถึงระบบการเงินซึ่งอาจเป็น game changer ต่อไป
ขณะเดียวกัน นวัตกรรมบางประเภทอาจยังต้องผ่านการพิสูจน์เพิ่มเติมให้มั่นใจว่า การนำเทคโนโลยีที่มีศักยภาพ (เช่น Distributed Ledger Technology) มาปรับใช้จะต้องมี use case ที่สามารถสร้างประโยชน์ต่อภาคเศรษฐกิจจริง (real sector) ได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพ และไม่สร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคมให้รุนแรงขึ้น
ทั้งนี้ ธปท. จะให้ความสำคัญและสนับสนุนให้เกิด responsible innovation ในภาคการเงินไทย ขณะเดียวกัน ก็จะดูแลไม่ให้เกิดกรณีที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพ ความเท่าเทียมกัน และการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านการดำเนินการ ได้แก่
- การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน ที่ผ่านมา ธปท. ได้ผลักดันการวางระบบชำระเงินทั้งภายในและระหว่างประเทศ โครงการ CBDC การพิสูจน์และยืนยันตัวตนนิติบุคคล และการสนับสนุนการแลกเปลี่ยนและการใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ และทุกภาคส่วนเข้าถึงได้ (open data)
- การสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมโดยภาคเอกชน โดยการปรับปรุงเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง (regulatory impact assessment) และอนุญาตการทดลองนวัตกรรมผ่าน regulatory sandbox ของ ธปท. ให้ยืดหยุ่นยิ่งขึ้นและไม่เป็นอุปสรรค รวมทั้งมีการวางราวกั้น (guardrail) ที่สามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่เปลี่ยนไป เช่น การยกเลิกข้อจำกัดในการลงทุนในธุรกิจ FinTech (FinTech Limit) และการกำหนดเพดานการลงทุนของกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ที่ประกอบธุรกิจและทำธุรกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ 3% ของเงินกองทุนของธนาคารพาณิชย์และกลุ่มธุรกิจการเงิน
- การส่งเสริมให้เกิดการแข่งขัน เช่น การเปิดโอกาสให้ผู้เล่นใหม่ ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนเข้ามาแข่งขันได้ผ่านการออกใบอนุญาตให้จัดตั้ง virtual banking ได้ในอนาคต
ทั้งนี้ การจะผลักดันให้เกิด responsible innovation ได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ให้บริการและหน่วยงานกำกับดูแล โดยธปท. พร้อมเปิดกว้าง ยินดีรับฟัง และร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับผู้เกี่ยวข้อง เพื่อหาจุดสมดุลระหว่างบทบาทของภาครัฐและภาคเอกชนที่เหมาะสมในการขับเคลื่อนพันธกิจสำคัญนี้ให้ประสบความสำเร็จ และสร้างประโยชน์อย่างแท้จริงสำหรับประเทศไทย
#ธนาคารแห่งประเทศไทย #ธปท. #Fintech #VirtualBanking