ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 417 จุด หวังเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก ดัชนีดาวโจนส์พุ่ง 417 จุด หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจอ่อนตัว นักลงทุนมองเฟดขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อเริ่มได้ผล หวังเฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย พร้อมจับตารายงานผลดำเนินงานบริษัทขนาดใหญ่ ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 47 เซนต์ หลุดต่ำกว่า 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวก หลัง “ริชี สุนัก” ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษ คลายความวิตเศรษฐกิจ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 24 ตุลาคม 2565 ปิดที่ 31,499.62 จุด เพิ่มขึ้น 417.06 จุด หรือ 1.34% จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนตัวซึ่งแสดงว่าการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพื่อคุมเงินเฟ้อเริ่มได้ผล ทำให้คาดว่าเฟดจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่นักลงทุนรอการรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทขนาดใหญ่

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,797.34 จุด เพิ่มขึ้น 44.59 จุด, +1.19%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,952.61 จุด เพิ่มขึ้น 92.90 จุด, +0.86%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีซึ่งอ่อนตัวในช่วงแรกกลับมาแตะที่ระดับ 4.25% หลังเอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นเดือนตุลาคมลดลงมากกว่าคาด

เอสแอนด์พี โกลบอลรายงาน ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นลดลงมาที่ระดับ 47.3 ซึ่งต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จาก 49.5 ในเดือนกันยายน และหดตัวเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน

ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น อยู่ที่ 49.9 ต่ำสุดในรอบ 28 เดือน จาก 52.0 ในเดือนกันยายนและต่ำกว่า 51.8 ที่นักวิเคราะห์คาด ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการอยู่ที่ 46.6 ต่ำกว่า 49.7 ที่นักวิเคราะห์คาด

ดัชนี PMI ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเริ่มมีผลต่อกิจกรรมทางธุรกิจของสหรัฐ ซึ่งอาจจะทำให้เฟดชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ประกอบกับนางแมรี ดาลี ประธานเฟดสาขาซานฟรานซิสโกให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันในวันศุกร์ว่า เฟดควรหลีกเลี่ยงการทำให้เศรษฐกิจตกลงและถึงเวลาที่จะพิจารณาชะลอการขึ้นดอกเบี้ย

ตลาดมองว่ามีโอกาส 50-50 ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในการประชมเดือนธันวาคม

นอกจากนี้นักลงทุนจับตาการรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ทั้ง อัลฟาเบท ไมโครซอฟต์ แอปเปิล แอมะซอน ในสัปดาห์นี้
เทอร์รี่ แซนด์เวน จาก U.S. Bank กล่าวว่า เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยยังมีผลต่อตลาดในสัปดาห์นี้ แต่นักลงทุนมองไปที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่มาพร้อมการคาดการณ์ แต่ผลการดำเนินงานน่าจะต่ำกว่าคาด

หุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์กร่วงลงแรง ทั้งหุ้นอาลีบาบา โฮลดิ้งส์ และเจดีดอทคอม หลังจากประธานาธิบดี สี จิ้นผิงคุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นสมัยที่สาม และยังมีผลต่อหุ้นที่มีธุรกิจในจีน โดยหุ้นเทสลาลดลง 4% หลังปรับราคาขายรถในจีนลงเพราะเผชิญการแข่งขันจากบริษัทในจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับสองของเทสลา

เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบเงินหยวนเพราะกังวลว่าการคุมอำนาจในการตัดสินใจของสี จิ้นผิงจะมีผลต่อการเติบโตเศรษฐกิจอ่อนแอลงและการเมืองระหว่างประเทศไร้เสถียรภาพ

ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยกลุ่มสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น 1.4% หลังนายริชี สุนัก คว้าชัยได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยม และจะได้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษ ช่วยคลายความวิตกเกี่ยวกับเศรษฐกิจ

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีอ่อนตัวมาที่ 3.846%

ตลาดยังคาดหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)จะเริ่มชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่จับตาการประชุมของธนาคารกลางสหภาพยุโรปในสัปดาห์นี้ซึ่งคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.75%

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 401.84 จุด เพิ่มขึ้น 5.55 จุด, +1.40%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,013.99 จุด เพิ่มขึ้น 44.26 จุด, +0.64%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,131.36 จุด เพิ่มขึ้น 95.97 จุด, +1.59%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,931.45 จุด เพิ่มขึ้น 200.55 จุด, +1.58%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 47 เซนต์ หรือ 0.6% ปิดที่ 84.58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนืองวดส่งมอบเดือนธันวาคม ลดลง 24 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 93.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล