ดาวโจนส์ปิดร่วง 403 จุด วิตกเงินเฟ้อ

HoonSmart.com>>ดาวโจนส์ปิดร่วง  1.34% Nasdaq ดิ่ง 3.08% วิตกเงินเฟ้อ  ด้านบอนด์ยีลด์ 10 ปี เพิ่มขึ้นมาที่ 4.025% เป็นครั้งที่สองในรอบ 2 วัน  หุ้นกลุ่มแบงก์สหรัฐบวก รับกำไรโต ด้านตลาดหุ้นยุโรปเพิ่มขึ้น หลังรัฐบาลอังกฤษยกเลิกแผนลดภาษีบางส่วน  ราคาน้ำมันดิบ  WTI ลดลง 3.5 ดอลลาร์ หรือ 3.9% ปิดที่ 85.61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล  กังวลเศรษฐกิจโลกจะถดถอย

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 14 ต.ค.2565 ปิดที่ 29,634.83 จุด ลดลง 403.89 จุด หรือ 1.34% หลังการรายงานผลสำรวจการคาดการณ์เงินเฟ้อผู้บริโภคจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนเพิ่มขึ้น

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,583.07 จุด ลดลง 86.84 จุด, -2.37%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,321.39 จุด ลดลง 327.76 จุด, -3.08%

ในสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 1.2%, ดัชนี S&P500 ลดลง 1.6% และดัชนี Nasdaq ลดลง 3.1%

มหาวิทยาลัยมิชิแกนรายงานผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนต.ค.เพิ่มขึ้นมาที่ 59.8 ใน จาก 58.6 ในเดือนก.ย.และสูงกว่า 59.0 ที่นักวิเคราะห์คาด แต่ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะแตะระดับ 5.1% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้นจาก 4.7% ที่สำรวจในเดือนก.ย. และในช่วง 5 ปีข้างหน้า ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะแตะระดับ 2.9% เพิ่มขึ้นจาก 2.7% ที่สำรวจในเดือนก.ย.

การคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภคเป็นตัวแปรหนึ่งที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ติดตามอย่างใกล้ชิด

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นมาที่ 4.025% เป็นครั้งที่สองในรอบ 2 วัน จากการตอบสนองของนักลงทุนหลังการรายงานการคาดการณ์เงินเฟ้อ

ด้านกระทรวงพาณิชย์รายงาน ยอดค้าปลีกเดือนก.ย.ทรงตัวจากที่เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าอาจเพิ่มขึ้น 0.2% แต่เมื่อเทียบรายปีเพิ่มขึ้น 8.2% ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร เพิ่มขึ้น 0.4% จาก 0.2% ในเดือนส.ค. เป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา

เอสเทอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัสซิตี้เตือนว่า เฟดต้องคำนึงถึงความเร็วในการขึ้นดอกเบี้ย โดยชี้ว่าต้องสม่ำเสมอ เนื่องจากผลของนโยบายต้องใช้เวลา หากปรับขึ้นพรวดพราดไประดับใหม่ก็จะมีความเสี่ยง และการขึ้นดอกเบี้ยเร็วก็จะมีผลต่อตลาดเงิน ดังนั้นต้องชั่งน้ำหนักระหว่างภาวะเศรษฐกิจและตลาดเงินให้สมดุล

ทอม พอร์เซลลี จาก RBC Capital Markets คาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในครั้งละ 0.75% เพื่อให้ดอกเบี้ยขึ้นไปแตะ 4.75% ซึ่งเมื่อถึงระดับนั้นอัตราว่างงานจะสูงขึ้นไปที่ 5% หรือมีคน 2 ล้านคนตกงาน ปัจจุบันอัตราว่างงานอยู่ที่ 3.5%

หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชสบวก 1.73% หุ้นซิตี้กรุ๊ปเพิ่มขึ้น 0.65% และหุ้นเวลส์ ฟาร์โก เพิ่มขึ้น 2.06%
หุ้นยูไนเต็ดเฮลท์ บวก 0.63% จากผลประกอบการที่ดีกว่าคาด
หุ้นเดลตาแอร์ไลน์บวก 3% หลัง Cowen ปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุน

ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้น นำโดยกลุ่มสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น 2 % หลังรัฐบาลอังกฤษยกเลิกแผนลดภาษีบางส่วน ซึ่งส่งผลให้อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้นมาที่ 25% จาก 19%และปลดนายกวาวี กวาเต็ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกจากตำแหน่ง และตั้งนายเจเรมี ฮันท์ เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่

เงินปอนด์อ่อนค่าลง 1% ลงมาที่ 1.12 ต่อดอลลาร์

เมื่อวานนี้ธนาคารกลางอังกฤษ(Bank of England:BoE) ยุติการรับซื้อพันธบัตรตามกำหนด โดยเข้าซื้อวันสุดท้าย 1.3207 พันล้านปอนด์ รวมทั้งแล้วซื้อไป 19.3 พันล้านปอนด์

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีเพิ่มขึ้นมาที่ 4.682%

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 391.31 จุด เพิ่มขึ้น 2.16 จุด, +0.56%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,931.92 จุด เพิ่มขึ้น 52.73 จุด, +0.90%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,858.79 จุด เพิ่มขึ้น 8.52 จุด, +0.12%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,437.81 จุด เพิ่มขึ้น 82.23 จุด, +0.67%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายนลดลง 3.5 ดอลลาร์ หรือ 3.9% ปิดที่ 85.61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนืองวดส่งมอบเดือนธันวาคมลดลง 2.94 ดอลลาร์ หรือ 3.1% ปิดที่ 91.63ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

ในสัปดาห์นี้ ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 7.59% แต่นับตั้งแต่ต้นปีเพิ่มขึ้นราว 14% ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent สัปดาห์นี้ ลดลง 6.42% เป็นสัปดาห์แรกที่ลดลงนับตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน และจากต้นปีเพิ่มขึ้นราว 18%

ราคาน้ำมันดิบลดลงจากความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะถดถอยซึ่งจะกระทบต่อความต้องการแม้จะมีการลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกและพันธมิตร