HoonSmart.com>> “3 บลจ.” คงมุมมอง “บวก” ตลาดหุ้นเวียดนาม ปัจจัยพื้นฐานแกร่ง กำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโต ชี้ราคาร่วงแรงรอบเกือบ 10 ปี เหตุนักลงทุนกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เงินด่องอ่อนค่า สภาพคล่องซื้อขาย ข่าวจับกุมบิ๊กบริษัทอสังหาฯ รายใหญ่ทุจริต ด้าน “บลจ.กสิกรไทย” แนะจังหวะทยอยสะสม สำหรับจัดพอร์ตลงทุน 5-10% ขณะที่ “บลจ.กรุงศรี” มองแรงขาย Oversold หาจังหวะเข้าซื้อ ฟาก MFC แนะถือลงทุนต่อ ส่วนผู้ที่สนใจแนะทยอยลงทุน
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย (KAsset) เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นเวียดนาม (VNI Index) ปรับตัวลดลงกว่า 8.5% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลักๆ มาจากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ค่าเงินเวียดนามด่องที่อ่อนค่าในทิศทางเดียวกับค่าเงินในภูมิภาค อัตราดอกเบี้ย Interbank ปรับตัวสูงขึ้นสะท้อนสภาพคล่องที่ลดลง อีกทั้งยังมีข่าวการจับกุมประธานบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ Van Thinh Phat Group ข้อหาทุจริตหุ้นกู้ (เหตุการณ์เกิดขึ้นปี 2018-2019)
ตลอดจนมีข่าวลือว่ามีธนาคารพาณิชย์เอกชนรายใหญ่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดแรงขายจากนักลงทุนรายย่อย ซึ่งมีการใช้ Margin Loan ถูก Force Sell อย่างต่อเนื่อง (นักลงทุนรายย่อยที่ใช้บัญชี Margin ซึ่งเป็นบัญชีการกู้ยืมเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นเวียดนาม ถูกบังคับขายจากราคาหุ้นที่ปรับตัวลงแรง) ส่งผลให้สัปดาห์ที่ผ่านมา VNI Index ปรับตัวลงกว่า 8.5%
อย่างไรก็ตามสินทรัพย์ที่กองเข้าลงทุน เป็นหุ้นพื้นฐานดี ทำให้ไม่มีปัจจัยที่น่ากังวลในการดำเนินงาน ซึ่งทีมผู้จัดการกองทุนมองว่าหุ้น Top Holding ที่ทางกองทุนถือครองเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีความสามารถในการแข่งขันสูง ตลอดจนมีความสามารถในการดำเนินงานที่โดดเด่น ทำให้ไม่มีปัจจัยที่น่ากังวลในการดำเนินงานของบริษัทเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นอาจจะได้รับผลกระทบเชิงลบระยะสั้นจากความกังวลในภาพรวมของตลาดหุ้นเวียดนาม
ผู้จัดการกองทุนมองในระยะสั้น มีมุมมองระมัดระวังมากขึ้น เนื่องจากในช่วงนี้นักลงทุนรายย่อยค่อนข้างให้ความสำคัญกับข่าวเชิงลบทั้งภายในและภายนอกประเทศเป็นหลักส่งผลให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูงขึ้น
ส่วนระยะกลางและยาว ยังคงมุมมองเชิงบวกจากปัจจัยพื้นฐานของประเทศที่ยังแข็งแกร่ง ทั้ง GDP FDI การส่งออก การบริโภคในประเทศ ขณะที่อัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนยังอยู่ในระดับสูง ที่ +24.1% ปีนี้ และ 16.8% ในปีหน้า โดยปัจจุบัน VNI ซื้อขายที่ PER 9.7 เท่าปีนี้ และ 8.2 เท่าปีหน้า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ PER 13.4 เท่า
กองทุนหุ้นเวียดนามแนะนำ ได้แก่ K-VIETNAM, K-VIETNAM-RMF
อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง ธนาคารกลางเวียดนามมีแนวโน้มจะปรับดอกเบี้ยขึ้นอีก 0.5-1% และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อาจจะยังมีทิศทางแข็งค่าตามการปรับนโยบายทางการเงินของ Fed จะยังเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นเวียดนามในระยะสั้น จึงปรับเป้าปลายปีนี้ลงมาที่ 1,300 จุด (เป้าเดิม 1,400 จุด)
บลจ.กสิกรไทย ยังคงมุมมองบวกต่อการลงทุนในหุ้นเวียดนาม (Positive) โดยหากดูจากปัจจัยภายในประเทศเวียดนามมีความน่าสนใจทั้งแง่เศรษฐกิจที่ GDP ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง และกำไรบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตได้ในระดับสูง จำนวนประชากรวัยแรงงานมีสัดส่วนสูงที่สุดในอาเซียน เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาว ขณะที่ภาวะเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับที่จัดการได้
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นเวียดนามถือว่ามีความผันผวนสูงเนื่องจากมีสัดส่วนหลักเป็นนักลงทุนรายย่อย จึงไม่แนะนำให้จับจังหวะการลงทุน แต่มุ่งเน้นไปที่การจัดพอร์ตและกระจายการลงทุน
“
ราคาที่ย่อลงไปมาก เป็นโอกาสทยอยสะสม โดยแนะนำให้มีหุ้นเวียดนามอยู่ในพอร์ตลงทุนประมาณ 5-10% ของสัดส่วนพอร์ตหุ้น ขึ้นอยู่กับความสามารถรับความเสี่ยงของผู้ลงทุน ทั้งนี้ การลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามต้องทนความผันผวนระยะสั้นให้ได้ แนะนำให้ลงทุนยาว 3-5 ปี"บลจ.กสิกรไทย แนะนำ
ด้านบลจ.กรุงศรี ตลาดหุ้นเวียดนามร่วงลงแรงกว่า 6-7% กังวลค่าเงินดองทอ่อนค่า หลังธนาคารพาณิชย์เวียดนามบางแห่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากขึ้นไปเกือบ 9% จนมีแรงขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ ส่งผลให้เกิดการขึ้น Margin Call (สถานการณ์ที่บัญชีซื้อขายหุ้นของผู้ลงทุนมีมูลค่ารวมต่ำกว่าระดับที่กำหนด และเตือนให้ผู้ลงทุนต้องฝากเงินเพิ่ม หรือปิดทุกออเดอร์ให้หมด) เพราะตลาดหุ้นเวียดนามมีสภาพคล่องต่ำ
อย่างไรก็ตามด้วยปัจจัยพื้นฐานของเวียดนามที่แข็งแกร่ง และระดับราคาซื้อขายถูกที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี ทำให้เวียดนามยังคงมีแรงดึงดูดอยู่อีกมากสำหรับนักลงทุน
ขณะที่มุมมองของผู้จัดการกองทุนต่อค่าเงินดอง (VND) แนวโน้มอ่อนค่าตามการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แต่ยังถือเป็นสกุลเงินที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ยังดีอยู่ และเป็นสกุลเงินที่ยังอ่อนค่าน้อยสุดสกุลหนึ่งในเอเชีย
แม้ว่าเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (Foreign Reserve) ของเวียดนามจะลดลงจากระดับ 1.1 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐจากช่วงต้นปี มาอยู่ที่ 1.0 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐในเดือนมิ.ย. แต่ถือเป็นระดับที่สูงในรอบหลายปี (ในช่วงสิ้นปี 2562 อยู่ที่ 6 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐ) แม้เวียดนามจะมีดุลบัญชีเดินสะพัด (Current Account) ที่ขาดดุล แต่เวียดนามมีการเกินดุลการค้า (Trade Surplus) อย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่ดีขึ้นจากราคาน้ำมันที่ลดลงและการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว อัตราเงินเฟ้อของเวียดนามอยู่ในระดับ 3% ซึ่งไม่ได้สูงมากนัก และไม่ได้เป็นปัจจัยกดดันค่าเงิน
บลจ.กรุงศรี มองตลาดหุ้นเวียดนามยังสามารถเข้าลงทุนได้ เพราะเวียดนามเป็นประเทศที่มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งมาก ทั้งจาก GDP ในไตรมาส 3 ของปี 2565 ที่เติบโตมากถึง 13.7% เมื่อเทียบกับปี 2564 และอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ที่เติบโตได้ในระดับสูง (มากกว่า 15% ในปี 2565-2566)
ปัจจุบันดัชนี VN Index ซื้อขายที่ระดับ PE 9.7 เท่า ซึ่งเป็นระดับราคาซื้อขายที่ถูกที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี ดัชนีเวียดนามที่ระดับ 1,000 จะเป็นแนวรับแนวต้านที่สำคัญ (หากผ่านขึ้นไปได้ ราคาของหุ้นนั้นก็จะวิ่งขึ้นต่อไปทดสอบแนวต้านถัดไป)
“
ตลาดหุ้นเวียดนามกำลังมีสภาวะขายมากเกินไป (Oversold) โดยมีค่า RSI หรือ Relative Strength Index (เครื่องมือที่บ่งบอกสัญญาณแนวโน้มขาขึ้น (bullish) และขาลง (bearish) ของราคาหุ้น) อยู่ที่ 20 ซึ่งเมื่อ RSI < 30 ราคาหุ้นจะถูกลง เนื่องจากมีสภาวะขายมากเกินไป (Oversold) นักลงทุนสามารถพิจารณาหาจังหวะในการเข้าซื้อได้"บลจ.กรุงศรี แนะนำ
ขณะที่บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) มองปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจของเวียดนามยังมีการเติบโตที่สูง อีกทั้งตลาดหุ้นยังมีมูลค่าไม่แพง เมื่อเทียบกับหลายๆ ประเทศ (พิจารณาจาก Forward P/E) นอกจากนี้ การยกระดับเข้าสู่ MSCI Emerging Markets Index ที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นประมาณปี 2567 จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตามข้อควรระมัดระวัง ภาพใหญ่ของตลาดหุ้นเวียดนามยังอยู่ในแนวโน้มขาลง ประกอบกับเป็นตลาดหุ้นที่มีความผันผวนสูง เนื่องจากเป็น Frontier Market หรือ ตลาดหุ้นชายขอบที่เพิ่งพัฒนาได้ไม่นาน จึงมีความเสี่ยงเรื่องของสภาพคล่อง กฎเกณฑ์ และมาตรฐานทางการเงินต่าง ๆ
“
สำหรับผู้ที่ลงทุนอยู่แล้ว แนะนำให้ถือลงทุน และรอดูสถานการณ์ โดยคงน้ำหนักการลงทุนตามระดับความเสี่ยงและสัดส่วนที่ผู้ลงทุนสามารถรับได้ ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้ลงทุนและสนใจที่จะลงทุนแนะนำให้ทยอยลงทุนด้วยความระมัดระวัง"บลจ.เอ็มเอฟซี แนะนำ
สำหรับกองทุน MVIET เน้นลงทุนแบบผสมผสานในหุ้นเวียดนามที่มีขนาดตลาด (market capitalization) ทุกขนาดทั้ง ใหญ่ กลาง เล็ก และลงทุนหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น Real Estate, Bank, Technology ที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยปัจจุบัน GDP ในช่วงครึ่งปีแรกของเวียดนามยังขยายตัวที่ 6.42% YoY ใกล้เคียงกับกรอบเป้าหมายทั้งปีที่รัฐบาลเวียดนามกำหนดไว้ที่ 6.0%-6.5%
ขณะที่ผลตอบแทนกองทุนหุ้นเวียดนามตั้งแต่ต้นปี 2565 ถึงปัจจุบัน ผลตอบแทนติดลบสูงสุด 37.79% และน้อยสุดติดลบ 17.99% ข้อมูล ณ 7 และ 10 ต.ค.2565 จากจำนวน 14 กองทุน ข้อมูลบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) และย้อนหลัง 1 ปี มีผลตอบแทนแทนติดลบสูงสุด 35.18% และติดลบน้อยสุด 24.92% จากจำนวนกองทุน 8 กองทุน