โบรกเกอร์-กองทุน ฟันธงไตรมาส 4 หุ้นไทยมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น บล.ทิสโก้ ชี้สถิติพบหุ้นไทยมีโอกาส 70% ปรับตัวขึ้นก่อนเลือกตั้ง ผสมเงิน LTF & RMF บล.ทรีนีตี้ คาด ต.ค. แกว่ง 1,700- 1,780 จุด บลจ.กรุงไทย มั่นใจไตรมาส 4 เป็นช่วงที่ดีของหุ้นไทย ให้เป้า 1,780 จุด บลจ.วรรณ ได้จังหวะออกทริกเกอร์หุ้นไทย ONE-OPPORTUNITY 6/2 ตั้งเป้ากำไร 5% ใน 6 เดือน
บล.ทิสโก้ : เลือกตั้ง & LTF-RMF ไหลเข้า
สำนักวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ ระบุว่า จากการศึกษาข้อมูลการเลือกตั้งของไทยในอดีต มีโอกาสประมาณ 70% ที่ตลาดหุ้นไทยจะตอบรับในเชิงบวกด้วยการปรับตัวขึ้น (Pre-election Rally) และให้ผลตอบแทนดีที่สุดในช่วงก่อนการเลือกตั้ง 3-6 เดือนล่วงหน้า (ปรับขึ้นเฉลี่ยราว 4-6%) ประกอบกับในไตรมาส 4 ของทุกปี จะเป็นเดือนที่เม็ดเงิน LTF & RMF ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากที่สุด และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
“เราคาดว่าไตรมาส 4 ปีนี้จะมีเม็ดเงิน LTF & RMF ไหลเข้ารวมไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าจะเป็นเม็ดเงิน LTF ราว 3.5 หมื่นล้านบาท และ RMF ราว 1.5 หมื่นล้านบาท” สำนักวิจัย บล.ทิสโก้ ประเมิน
อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจัยเสี่ยงภายนอกยังอาจสร้างความผันผวนให้แก่ตลาดหุ้นไทยต่อไป และยังไม่มีสัญญาณไหลกลับของกระแสเงินทุนต่างประเทศ แต่ปัจจัยภายในประเทศที่แข็งแกร่ง ทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัวดี, ความคืบหน้าโครงการลงทุนภาครัฐ และการเลือกตั้งปีหน้า จะทำให้ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่แนวโน้มการแกว่งซิกแซกขึ้นได้อีกครั้งในช่วงไตรมาส 4 ด้วยแรงขับเคลื่อนจากเม็ดเงินภายในประเทศเป็นสำคัญ
“เรายังคงเป้า SET Index ปลายปีนี้ขึ้นทดสอบระดับ 1,800 และ 1,850 จุด ตามลำดับ” สำนักวิจัย บล.ทิสโก้ ระบุ
บล.ทรีนีตี้ : หุ้นไทยเดือน ต.ค. แกว่ง 1,700-1,780 จุด
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเดือนต.ค. จะแกว่งตัว Sideways โดยมองกรอบแนวรับไว้ที่ 1,700 จุดและ 1,680 จุด ตามลำดับ ส่วนกรอบแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,780 จุด
สำหรับปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นเดือนตุลาคม คือการคาดการณ์ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่จะยืนอยู่ในระดับสูงต่อไป
สำหรับปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะเรื่องสถานการณ์การเมืองการเลือกตั้ง ณัฐชาต ระบุว่า ยังไม่ให้น้ำหนักปัจจัยนี้มากนัก เนื่องจากปรากฏการณ์ Election Rally ที่แท้จริงของตลาดหุ้นไทยจะเกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนหน้าไปจนถึง 1 สัปดาห์หลังการเลือกตั้งเท่านั้น
บลจ.วรรณ : เงินไหลออกน้อย & แรงซื้อ LTF-RMF หนุน
นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ กล่าวว่า โอกาสในการปรับตัวลงของดัชนีเริ่มแคบลง และหากพิจารณาสัดส่วนการถือครองของนักลงทุนต่างชาติ ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 29.47% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 33.10% สะท้อนได้ว่า ความเสี่ยงจากการไหลออกของเงินทุนเริ่มจำกัดลง นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยได้ทยอยรับรู้ปัจจัยลบไปพอสมควร
“ณ ระดับดัชนีปัจจุบันเป็นจังหวะที่เหมาะสมสำหรับการลงทุน นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 4 จะเริ่มมีเม็ดเงินจากแรงซื้อกองทุน LTF/RMF เข้ามาในตลาดอีกประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการปรับตัวขึ้นของดัชนีได้” นายพจน์ กล่าว
พร้อมกันนี้ บลจ.วรรณ เปิดขายกองทุนเปิด วรรณ ออพพอร์ทูนิตี้ 6/2 (ONE-OPPORTUNITY6/2) มีเป้าหมายเลิกโครงการเมื่อมีผลตอบแทนประมาณ 5% ภายใน 6 เดือน
“เศรษฐกิจในประเทศจะยังคงเป็นแรงหนุนความน่าสนใจของตลาดหุ้นไทย อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งภายในประเทศที่จะเริ่มเห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นเร็วสุด ก.พ. 62 ซึ่งมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวขึ้นรับกำหนดการเลือกตั้ง (Election Rally) ดังนั้น กลยุทธ์ของกองทุนนี้จึงต้องมี Theme คัดสรรหุ้นและตราสารหนี้ให้เหมาะกับสถานการณ์ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์ Stock Selection ซึ่งจะเน้นหุ้นที่มีศักยภาพได้ประโยชน์จากโครงการภาครัฐโดยมีระดับราคาไม่สูงมาก อีกทั้ง ยังคงต้องเน้นกลุ่มการบริโภคภายในประเทศเป็นหลักโดยเฉพาะหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานและหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเลือกตั้ง กลุ่มธนาคารพาณิชย์ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง” นายพจน์ กล่าว
บลจ.กรุงไทย : ไตรมาส 4 ดีที่สุดของปี
นายวีระ วุฒิคงศิริกูล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานจัดการลงทุน บลจ.กรุงไทย ให้เป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปี 2561ไว้ที่ 1,780 จุด โดยประเมินการขยายตัวของกำไรของตลาดโดยรวมไว้ที่ 10% และปรับ P/E ให้ลงสู่ระดับ 16.4 เท่า ต่ำกว่า P/E ปี 2560 เล็กน้อยทำให้เป้าหมายของดัชนีฯ ในปี 2561 ลดลงเหลือ 1,780 จุด
“จากสถิติย้อนหลังมีโอกาสสูงที่ในไตรมาส 4 จะเป็นไตรมาสที่ดีสำหรับการลงทุนของปี โดยจะเห็นตลาดหลักทรัพย์มีแนวโน้มเป็นบวกมากกว่าลบซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ที่ดีของนักลงทุนที่มีต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2562 นอกจากนี้ยังมีการเข้ามาเก็งกำไรหุ้นที่ได้รับผลดีจากการเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าเข้ามาช่วยเป็นปัจจัยสนับสนุน ซึ่งหากดัชนีฯ สามารถผ่าน 1,730 จุดขึ้นมาได้ น่าจะเห็นดัชนีฯ ไปได้ถึง 1,800 – 1,820 จุด ในไตรมาส 1 ปี 2561” นายวีระ กล่าว