HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบ ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 313 จุด แรงเทขายหลังนักลงทุนมองเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างมากในการประชุมครั้งนี้ ด้านบอนด์ยีลด์พุ่ง ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลง 1.28 ดอลลาร์ ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปิดลบ รอผลประชุมเฟด
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 19 กันยายน 2565 ปิดที่ 30,706.23 จุด ลดลง 313.45 จุด หรือ 1.01% จากแรงเทขายหลัง นักลงทุนมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยอย่างมากในการประชุมที่จะสิ้นสุดลงในวันพุธนี้ตามเวลาในสหรัฐฯ
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,855.93 จุด ลดลง 43.96 จุด, -1.13%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,425.05 จุด ลดลง 109.97 จุด, -0.95%
คณะกรรมการ FOMC มีกำหนดประชุมระหว่างวันที่ 20-21 กันยายน ซึ่งคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.75%
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีพุ่งไปที่ 3.99% สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2007 ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีแตะระดับ 3.6% เป็นระดับที่ไม่ได้เห็นมานานตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งแจ๊ค แอบลินจาก Cresset Capital กล่าวว่า เป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดร่วงลง
“นักลงทุนค่อนข้างขานรับว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมคราวนี้ แต่กังวลว่าถ้อยคำในการแถลงข่าวอาจจะแสดงให้เห็นถึงนโยบายการเงินแข็งกร้าวแบบสุดขั้ว
เคที บอสต์ยานซิกจาก Oxford Economics กล่าวว่า นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดจะยังคงสื่อสารถึงนโยบายแข็งกร้าว เพราะเงินเฟ้อยังไม่เข้าสู่เป้าหมาย อีกทั้งอุปสงค์ในตลาดแรงงานมีมากกว่าอุปทาน และเงินเฟ้อเดือนสิงหาคมที่สูงกว่าคาดก็ยิ่งทำให้เฟดต้องดำเนินการในเชิงรุกเพื่อดึงเงินเฟ้อลง และแม้ว่านายพาวเวลล์ไม่น่าจะระบุชัดเจนถึงการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยครั้งต่อไป แต่ก็เชื่อว่าจะเปิดกว้างต่อการขึ้นดอกเบี้ยอย่างมากในเดือนพฤศจิกายน
นักลงทุนจับตาประมาณการจากการประชุมเพื่อประเมินว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีกเท่าไรและจะส่งผลอย่างไรต่อเศรษฐกิจ
ผลสำรวจผู้จัดการกองทุน นักเศรษฐศาสตร์ 35 รายของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซีพบว่า เฟดจะยังคงขึ้นดอกเบี้ยไปจนถึงต้นปี 2023 ส่งผลให้ดอกเบี้ยไปอยู่ที่ 4.26% จาก 2.25%-2.5% ในปัจจุบัน และจะคงดอกเบี้ยไว้ที่ 4.26% เป็นเวลา 11 เดือน
กระทรวงพาณิชย์รายงาน การเริ่มต้นสร้างบ้านเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 12.2% จากเดือนก่อนหน้าสู่ระดับ 1.575 ล้านยูนิต สูงสุดในรอบ 2 เดือน แต่การอนุญาตสร้างบ้านลดลง 10% แย่กว่า การลดลง 4.4% ที่นักวิเคราะห์คาด
มีหุ้นเพียง 2 ตัวที่ปิดบวก คือแอปเปิลที่เพิ่มขึ้น 0.7% และหุ้นโบอิ้งเพิ่มขึ้น 1.6%
หุ้นฟอร์ด มอเตอร์ ลดลง 12.3% เป็นการลดลงภายในวันเดียวที่มากสุดนับตั้งแต่ปี 2011 หลังจากเปิดเผยผลกระทบจากปัญหาห่วงโซ่อุปทานมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์
หุ้นไนกี้ ลดลง 4.5% หลังจากนักวิเคราะห์ของธนาคารบาร์เคลย์สปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนลงเป็น Equal weight จาก Overweight
เงินดอลลาร์แข็งค่าไปที่ระดับสูงสุดใหม่ก่อนการประชุมของเฟด โดยดัชนีเงินดอลลาร์เทียบตะกร้าเงินแตะ 110.181 จากที่เคยแตะ 110.26 เมื่อวันที่ 16 กันยายน
ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง นำโดยกลุ่มก่อสร้างและวัสดุที่ลดลง 2.4% ท่ามกลางการซื้อขายที่เงียบเหงา ขณะที่นักลงทุนรอผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯซึ่งคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.75%
ธนาคารกลางสวีเดน (Riksbank) ขึ้นดอกเบี้ย 1% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นมาที่ 1.75% โดยชี้ว่าเงินเฟ้อสูงเกินไป
เยอรมนีรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (Producer Price Index:PPI) เดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 45.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่า 37.9% ที่นักวิเคราะห์คาด และเพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่า 1.6% ที่นักวิเคราะห์คาด ส่วนดัชนี PPI พื้นฐานไม่รวมพลังงานเพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบรายเดือนและเพิ่มขึ้น 13% เมื่อเทียบรายปี
ทั้งดัชนี PPI ทั่วไปและพื้นฐานเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์ในประวัติศาสตร์ 83 ปีของการเป็นสาธารณรัฐ
ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 403.42 จุด ลดลง 4.45 จุด, -1.09%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,192.66 จุด ลดลง 44.02 จุด, -0.61%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,979.47 จุด ลดลง 82.12 จุด, -1.35%,
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,670.83 จุด ลดลง 132.41 จุด, -1.03%
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 1.28 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 84.45 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนืองวดส่งมอบเดือน ลดลง 1.38 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 90.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล