HoonSmart.com>> “เจ มาร์ท” เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ 2 ชุด อายุ 3 และ 4 ปี คาดดอกเบี้ย 4.00-4.55% “ทริส เรทติ้ง” คงอันดับน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ JMART ที่ “BBB” ด้าน JMT ออกหุ้นกู้อายุ 3 ปี คาดดอกเบี้ย 4.00-4.10% อันดับน่าเชื่อถือหุ้นกู้ “BBB+” เริ่มเปิดขายต.ค.นี้ นำเงินชำระหนี้ ขยายธุรกิจ รองรับการเติบโตก้าวกระโดด
นายอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท (JMART) ในฐานะบริษัทโฮลดิ้งที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Technology Investment Holding Company เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตแบบ J-Curve ให้สำเร็จลุล่วงและเป็นไปตามเป้าหมาย ล่าสุด ประกาศยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้ระยะยาว ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ โดยเสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไป (Public Offering – PO) ทั้งสิ้น 2 ชุด
หุ้นกู้ชุดที่ 1 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 อายุ 3 ปี คาดอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.00-4.25 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 1,000 บาท ราคาที่เสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท
หุ้นกู้ชุดที่ 2 ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2569 อายุ 4 ปี คาดอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.30-4.55 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 1,000 บาท ราคาที่เสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท
JMART จะจำหน่ายหุ้นกู้ดังกล่าวให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป (PO) และสถาบัน คาดว่าเสนอขายในช่วงวันที่ 25-27 ตุลาคม 2565 ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่ (1) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (2) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (3) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (4) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (5) บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระพัฒนสิน จำกัด (มหาชน) (6) บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ (7) บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน)
สำหรับหุ้นกู้ JMART ได้รับจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่อันดับ “BBB” โดยได้รับอันดับความน่าเชื่อถือขององค์กรที่อันดับ “BBB+” แนวโน้ม “Stable”โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2565
“เราคาดว่าการเสนอขายหุ้นกู้ของ JMART ครั้งนี้ จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไปที่ต้องการลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทฯ ซึ่งจะเสริมศักยภาพด้านเงินทุนเพื่อเตรียมพร้อมการขยายธุรกิจ และแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น โดยจะนำเงินไปใช้เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด และเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการของบริษัท และบริษัทในเครือ เดินหน้าสู่เป้าหมายกำไรโตไม่ต่ำกว่า 50% ต่อเนื่องอีก 3 ปี”นายอดิศักดิ์ กล่าว
ด้าน นายสุทธิรักษ์ ตรัยชิรอาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT) ผู้นำธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ ธุรกิจนายหน้าประกันภัย และธุรกิจประกันภัย ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้ระยะยาว ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ. 2568 วัตถุประสงค์เพื่อนําไปใช้ในเป็นเงินลงทุน ในการเข้าซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเข้ามาบริหาร
หุ้นกู้ของ JMT มีอายุ 3 ปี คาดอัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 4.00-4.10 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน มูลค่าที่ตราไว้หน่วยละ 1,000 บาท ราคาที่เสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท และได้รับจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่อันดับ “BBB+” โดยได้รับอันดับความน่าเชื่อถือขององค์กรที่อันดับ “BBB+” แนวโน้ม “Stable” โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2565
JMT จะจำหน่ายหุ้นกู้ดังกล่าวให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และผู้ลงทุนรายใหญ่ คาดว่าเสนอขายในช่วงวันที่ 4-6 ตุลาคม 2565 ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่ (1) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (2) ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (3) บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด (4) บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (5) บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระพัฒนสิน จำกัด (มหาชน) และ (6) บริษัทหลักทรัพย์ เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ จำกัด (มหาชน)
นายสุทธิรักษ์ กล่าวทิ้งท้ายถึงภาพรวมหนี้ด้อยคุณภาพในระบบยังคงอยู่ในระดับสูง และมองว่า ครึ่งปีหลังสถาบันการเงินจะเร่งทยอยเปิดประมูลขายหนี้ออกมาเพิ่มขึ้น เป็นโอกาสของ JMT เนื่องจากวันนี้เรามีกระสุนอยู่เต็มรังเพลิง วางงบลงทุนซื้อหนี้ปีนี้ไว้สูงถึง 10,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงพีคของธุรกิจ ขณะที่ พอร์ตบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ ณ งวดครึ่งปีแรกสะสมไว้อยู่ที่ 245,320 ล้านบาท
นอกจากนี้ จะเริ่มเห็นความคืบหน้าของบริษัทร่วมทุนกับทาง KBANK ที่คาดจะมีกำไรเข้ามาเสริมทัพ ดันผลงานเป็นไปตามเป้าหมาย กำไรโตระดับ 45%