ดาวโจนส์ปิดบวก 435 จุด บอนด์ยีลด์ลด ราคาน้ำมันร่วง

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดพุ่ง ดัชนีดาวโจนส์บวก 435 จุด หลังบอนด์ยีลด์อ่อนตัวลง ราคาน้ำมันดิบร่วงกว่า 5% ช่วยคลายกังวลการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดึงเงินเฟ้อของเฟด จับตาข้อมูลเศรษฐกิจอื่นๆในสัปดาห์หน้า ก่อนประชุมเฟด 20-21 ก.ย. ด้านตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 7 กันยายนคม 2565 ปิดที่ 31,581.28 จุด เพิ่มขึ้น 435.98 จุด หรือ 1.40% หลังปิดลบติดต่อกัน 7 วัน จากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรและราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลต่อการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อดึงเงินเฟ้อของธนาคารกลาง(เฟด)

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,979.87 จุด เพิ่มขึ้น 71.68 จุด, +1.83%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,791.90 จุด เพิ่มขึ้น 246.99 จุด, +2.14%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลงมาที่ระดับ 3.294% ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีและอายุ 30 ปีก็ลดลงเช่นกัน ด้านน้ำมันดิบ WTI ปิดที่ 81.94 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลล์ ต่ำสุดนับ ตั้งแต่เดือนมกราคม

หุ้นที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัว ทั้งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย โดย หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ เพิ่มขึ้น 1.2% หุ้นแอมะซอน เพิ่มขึ้น 2.7% หุ้นไมโครซอฟต์ เพิ่มขึ้น 1.9% หุ้นราล์ฟ ลอเรน เพิ่มขึ้น 3.3%

หุ้นแอปเปิล เพิ่มขึ้น 0.9% หลังเปิดตัว iPhone 14 Series จำนวน 4 รุ่น

ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังเฟดเปิดเผยสรุปรายงานภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book ที่แสดงให้เห็นว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจไม่ขยับมากนักในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ การซื้อรถลดลง การใช้จ่ายของผู้บริโภคค่อนข้างทรงตัวและแนวโน้มการเติบโตยังอ่อนแอ ขณะที่เงินเฟ้ออ่อนตัวลง

นอกจากนี้นางลาเอล เบรนาร์ด รองประธานเฟดกล่าวว่า เฟดจะยังคงปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเสถียรภาพด้านราคา แม้มีสัญญานว่าเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลง และการคงดอกเบี้ยในระยะยาวนั้นจำเป็นเพื่อให้เงินเฟ้อต่ำลงอย่างแท้จริง เพราะการใช้นโยบายการเงินตึงตัวต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าจะเห็นผล อย่างไรก็ตามก็มีความเสี่ยงหากดำเนินนโยบายการเงินมากเกินดังนั้นเฟดก็ต้องระวังเพื่อเลี่ยงที่จะไม่ให้นโยบายการเงินตึงตัวเกินไป เพราะการขึ้นดอกเบี้ยเร็วอาจจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ตลาดดูเหมือนว่าจะรับได้กับการขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ของเฟดในการประชุมเดือนกันยายน โดย FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 86% ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.75%

กระทรวงพาณิชย์รายงานการขาดดุลการค้าเดือนกรกฎาคมมีจำนวน 70.6 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 12.6% การนำเข้ามีมูลค่า 329.9 พันล้านดอลลาร์ ลดลง 2.9% การส่งออกมีมูลค่า 259.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 0.2%

สมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง (MBA) รายงาน จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัยลดลง 1% ในสัปดาห์ที่แล้ว และลดลง 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

หุ้นสายการบินปรับตัวขึ้นหลังยูไนเต็ดแอร์ไลน์ปรับเพิ่มคาดการณ์ยอดขายไตรมาสสามและรายงานความต้องการที่แข็งแกร่ง หุ้นยูไนเต็ดแอร์ไลน์บวก 5% หุ้นอเมริกันแอร์ไลน์เพิ่มขึ้น

4.7% หุ้นเดลต้าแอร์ไลน์เพิ่มขึ้น 3.3% และหุ้นเซ้าท์เวสต์ แอร์ไลน์เพิ่มขึ้น 2.5%

นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจอื่นในสัปดาห์หน้า ซึ่งรวมถึง CPI และเตรียมพร้อมรับความเสี่ยงก่อนการประชุมของคณะกรรมการ FOMC วันที่ 20-21 เดือนกันยายน

ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลดลงเพิ่มขึ้น นำโดยกลุ่มน้ำมันและก๊าซที่ลดลง 2.9 % นักลงทุนซื้อขายยังคงกังวลต่อแนวโน้มที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย แต่แรงกดดันเงินเฟ้อยังเพิ่มขึ้น รวมทั้งรอการเปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book

นอกจากนี้ยังจับตาการประชุมธนาคารกลางสหภาพยุโรปในวันพฤหัสบดีนี้ซึ่งคาดว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เพื่อดึงเงินเฟ้อที่สูงถึง 9.7%

เงินปอนด์อังกฤษอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ไปทีระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1985 ที่1.1468 จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 412.01 จุด ลดลง 2.37 จุด, -0.57%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,237.83 จุด ลดลง 62.61 จุด, -0.86%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,105.92 จุด เพิ่มขึ้น 1.31 จุด, +0.021%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,915.97 จุด เพิ่มขึ้น 44.53 จุด, +0.35%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนตุลาคม ลดลง 4.94 ดอลลาร์ หรือ 5.7% ปิดที่ 81.94 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนืองวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ลดลง 4.83 ดอลลาร์ หรือ 5.2% ปิดที่ 88.00 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล