GULF พุ่งนำกลุ่มในเครือ ขานรับ “เครดิต สวิส” อัพเกรด-เก็งดีลใหม่ JV

HoonSmart.com>>หุ้น GULF-INTUCH วิ่งขึ้น-เทรดคึกคัก ขานรับ”เครดิต สวิส”อัพเกรดหุ้น GULF พร้อมเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 61 บาท ทั้งยังเก็งดีลใหม่ร่วมทุน (JV) กับ GUNKUL วางเป้ากำลังการผลิต 1,000 เมกะวัตต์ อีกทั้งยังเข้าถือหุ้น INTUCH เพิ่มเป็น 46%

วันที่ 6 ก.ย.2565 หุ้นบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) วิ่งนำตลาด ราคาร้อนแรง ปิดที่ 56 บาท พุ่งขึ้น 5 บาทหรือ +9.80% มูลค่าซื้อขายกว่า 6,109 ล้านบาท ราคาสร้างสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) นับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2560 เสนอขาย IPO ราคาหุ้นละ 45 บาท พาร์ 5 บาท ปัจจุบันแตกพาร์เหลือ 1 บาท ราคาหุ้นที่กระโดดขึ้นหลายเท่าตัว สร้างความร่ำรวยและมูลค่าทรัพย์สินให้กับผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยเฉพาะ
นาย สารัชถ์ รัตนาวะดี ซึ่งถือหุ้นในนามส่วนตัวและบริษัทในกลุ่ม  รวมถึงบจ.ที่เข้าไปซื้อหุ้นในราคา IPO  ได้แก่ STEC มูลค่าเพิ่มเป็น 12,320 ล้านบาท และ BBL มูลค่าเพิ่มเป็น 8,150 ล้านบาท  นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มกัลฟ์ฯ ได้แก่ INTUCH ก็ปรับตัวขึ้นแรงด้วย

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้น GULF ปรับขึ้นเช้านี้ด้วยวอลุ่มเทรดที่เข้ามาอย่างหนาแน่น คาดว่าจะรับแรงซื้อเก็งกำไรจากนักลงทุน หลังจากที่บล.เครดิต สวิส ได้ปรับอัพเกรดหุ้น GULF พร้อมปรับราคาเป้าหมายหุ้นขึ้นเป็น 61 บาท

นอกจากนี้ GULF ยังได้เข้าไปถือหุ้นบริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) เพิ่มขึ้นเป็น 46% จากเดิมถือ 42% และยังเก็งดีลใหม่ความร่วมทุน (JV) กับบริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง (GUNKUL) ซึ่งตั้งเป้ากำลังผลิตไฟฟ้า 1,000 เมกะวัตต์

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) แนะนำ”ซื้อ”หุ้น GULF ราคาเป้าหมายปี2566 อยู่ที่  59 บาทเทียบกับมูลค่าเหมาะสมที่ 55.50 บาทในปี2565 ปัจจุบันซื้อขายที่ PER ต่ำกว่าในอดีตที่ 60–70 เท่าค่อนข้างมาก โดย PER66 ต่ำเพียง 37.0 เท่า (EA อยู่ที่ 40 เท่า) และยังไม่รวมการเติบโตที่กำลังจะเกิดขึ้นผ่าน JV และแผน PDP ฉบับใหม่ของไทยและเวียดนามรวมถึงการ M&A ที่กำลังจะเกิดขึ้น อีกทั้งยังมีธุรกิจ Non-power เช่น Data center และตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ล้วนเป็น Upside ต่อประมาณการ มองว่า GULF ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก และน่าลงทุนทั้งระยะสั้น กลาง และยาว

ทั้งนี้ คาดกำไรปกติไตรมาส 3/65 จะเติบโต QoQ และ YoY การลดสัดส่วนใน BKR2 ลงครึ่งหนึ่งเหลือ 25% จากเดิม 50% จะมีผลในไตรมาส 4/65 ทำให้ในไตรมาส 3/65 ยังมีผลปกติ ขณะที่ได้ส่วนแบ่งกำไรจากลุ่มของ JV ที่ทำร่วมกับ GUNKUL(GGC)ขนาด 170 เมกะวัตต์(MW) ซึ่งเป็น High season เข้ามาเพิ่มเติม ขณะที่ไตรมาส 4/65 คาดว่ากำไรของ GULF จะทำระดับสูงสุดใหม่ราว 3,500-4,000 ล้านบาท แม้ว่าจะลดสัดส่วนของ BKR2 ลงจากการ CODหน่วยที่ 4 ของ GSRC (โรงไฟฟ้า IPP) ในวันที่ 1 ต.ค.ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง่ 663MW ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH คาดว่าจะสูงที่สุดของปีจากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศและจำนวนนนักทอ่งเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทำให้รายได้ของ ADVANC กลับมาเติบโต นอกจากนี้ ไตรมาส 4/65 อาจมีกำไรพิเศษของการขาย BKR2 ราว 300 – 350 ล้านบาท ทำให้ช่วงสั้น–กลาง ผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่องชัดเจนที่สุดในกลุ่มโรงไฟฟ้า

นอกจากนี้ คาดว่าแผน PDP2022 ของไทยจะประกาศใช้ภายในเดือนก.ย. ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มโรงไฟฟ้ากลับมาเคลื่อนไหว Outperform ตลาดและคาดว่า GULF มีศักยภาพในการลงทุนจากการมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีช่องทางในการเปลี่ยนสินทรัพย์เป็นเงินสดได้หลายวิธีปัจจุนัน JV ที่าร่วมกกับ GUNKUL ตั้งเป้า 1000MW ใน 5 ปี ซึ่งหากทำได้ตามแผนจะเพิ่มมูลค่าราคาเป้าหมายอีกไม่น้อยกว่า 1.50–2.00 บาท อีกทั้งแผน PDP8 ของเวียดนามคาดว่าจะมีความชดัเจนในปีนี้เช่นกัน ซึ่งมีขนาดราว 30,000MW ใหญ่กว่าไทย 3 เท่า และ GULF น่าจะเป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่โอกาสในการได้โครงการใหม่ ๆ จำนวนมากโดยมีพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศในการรว่มลงทุน ซึ่งเป็น Upside ต่อประมาณการ ขณะที่โครงการในต่างประเทศอื่นๆคาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้ ขนาดไม่น้อยกว่า 1000 MW โดยคาดว่าจะเพิ่มมูลค่าราคาเป้าหมายอีกไมน้อยกว่า 1.00 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดและสัดส่วนการถือหุ้น นอกจากนี้ คาดว่าโครงการเขื่อนในลาว 2 โครงการคือ Pak Beng และ Pak Lay คาดว่า จะมีการเซ็นสัญญา PPA ใน 1–2 เดือนนี้เช่นกัน