HoonSmart.com>>หุ้นไทยดิ่ง 1.04% ตามเอเชีย-ยุโรป-ดาวโจนส์ล่วงหน้าลงต่อเฉียด 200 จุด ราคาน้ำมัน-ทองคำลง เฟดลั่นขึ้นดอกเบี้ยแรงเหนือ 4% ต้นปี 66 และยืนสูงต่ออีกระยะ บอนด์ยีลด์เพิ่ม บาทอ่อนค่า ต่างชาติทิ้งหุ้นหนักวันแรก 3,264 ล้านบาท บอนด์ด้วย บล.หยวนต้าคาดมีโอกาสหลุด 1,600 ส่วนตลาดเดือนก.ย. บล.ทรีนีตี้-ทิสโก้มองผันผวนในกรอบ 1,570-1,600 และ 1690 จุด ส่วนบล.เอเซียพลัสชี้สดใส แนะเพิ่มพอร์ตเป็น 35%
วันที่ 1 ก.ย. 2565 ต่างชาติและสถาบันไทยพร้อมใจกันทิ้งหุ้น กดดัชนีลงลึกสุด -21.18 จุด บริเวณ 1,617.75 จุด ก่อนฟื้นเล็กน้อยมาปิดที่ 1,621.95 จุด ลดลง 16.98 จุด หรือ -1.04% มูลค่าซื้อขาย 79,411.84 ล้านบาท โดยฟันด์โฟลว์ไหลออกหนักวันแรก 3,263.85 ล้านบาท และขายตราสารหนี้ด้วย 2,374 ล้านบาท ส่วนสถาบันไทยยืนขายหุ้นต่อ 2,234 ล้านบาท ด้านนักลงทุนไทยซื้อสวน 4,913.75 ล้านบาท
ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าตามเอเชีย จากดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า บอนด์ยีลด์สหรัฐ 10 ปีเพิ่มขึ้นแตะ 3.2 % หลังจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาคลีฟแลนด์ แถลงว่าเฟดจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปให้อยู่เหนือระดับ 4% ภายในต้นปี 2566 และคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวเป็นระยะเวลาหนึ่ง และเงินเฟ้อยูโรโซนประจำเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 9.1% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 9.0%
นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า หุ้นไทยปรับตัวลงในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดในภูมิภาคเอเชียปรับตัวลงราว 1.5-2% เช่นเดียวกับตลาดในยุโรปที่เทรดบ่ายนี้ติดลบราว 1.7% จากความกังวลเงินเฟ้อที่ยังอยู่ ทำให้ยุโรปอาจจะต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และภาคการผลิตของสหรัฐ และยุโรป ก็ชะลอตัว รวมถึงจีนกลับมาใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เมืองเฉิงตู เพื่อสกัดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้กังวลเศรษฐกิจอาจชะลอการฟื้นตัว
ทั้งนี้ คาดว่าในวันที่ 1-2 ก.ย.นักลงทุนต่างชาติคงจะขายหุ้นไทย ก่อนที่ตัวเลขเงินเฟ้อไทยจะออกมาในวันจันทร์หน้า (5 ก.ย.) ซึ่งตลาดคาดการณ์สูงถึง 8% และยังต้องติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่จะออกมาในวันพรุ่งนี้ (2 ก.ย.) ด้วย รวมถึงรอดูการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 8 ก.ย.นี้
“ทิศทางตลาดช่วงนี้อาจจะผันผวน ดัชนีฯมีโอกาสที่จะหลุด 1,600 จุด ซึ่งในทางกลยุทธ์แนะนำให้พักเงินไว้ที่หุ้นกลุ่ม Defensive ก่อน อย่างหุ้น ADVANC, RATCH, BJC, BAM หุ้นพวกนี้จะต้านความผันผวนของตลาดได้”
ส่วนแนวโน้มตลาดในเดือนก.ย.2565 นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ คาดแกว่งตัวผันผวน โดยมีกรอบแนวต้านแรกที่ 1,650 จุดและกรอบแนวต้านสำคัญที่ 1,690 จุด ในทางตรงกันข้าม ประเมินแนวรับสำคัญที่บริเวณ 1,570 จุด ในเชิงกลยุทธ์ มองจุดการเข้าเพิ่มน้ำหนักที่เริ่มปลอดภัยจะอยู่ที่บริเวณดัชนี 1,600-1,610 จุดหรือต่ำกว่า
ตลาดหุ้นทั่วโลกเคลื่อนไหวผันผวนต่อในเดือนนี้ เนื่องจากมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่รออยู่ เช่น การยกระดับการลดขนาดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จากเดิม 4.75 หมื่นล้านเหรียญฯ เป็น 9.5 หมื่นล้านเหรียญฯต่อเดือน รายงานตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขการจ้างงานในวันที่ 2 ก.ย.ตัวเลขเงินเฟ้อในวันที่ 13 ก.ย. การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB)ในวันที่ 8 ก.ย. และการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ในวันที่ 20-21 ก.ย.
ส่วนปัจจัยภายในของไทยที่น่าติดตาม ได้แก่ รายงานตัวเลขเงินเฟ้อในวันที่ 5 ก.ย. การประชุมกนง.ในวันที่ 28 ก.ย. และความเคลื่อนไหวทางด้านการเมืองในประเทศ โดยเฉพาะการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญต่อประเด็นการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
บล.เอเซียพลัสแนะกลยุทธ์การลงทุนในเดือนก.ย.ในเชิงพื้นฐาน SET Index 1,730 จุด ฝ่ายวิจัยฯประเมินสะท้อนประเด็นการขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งไปแล้ว ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มฟื้นเด่นกว่าหลายประเทศทั้งครึ่งหลังปี 2565 และปี 2566 ปัจจุบันระดับ GDP ยังต่ำกว่าช่วงก่อนการระบาดของโควิด-19 ดังนั้นจึงเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยเป็น 35% ของพอร์ตการลงทุน (Overweight)
ทั้งนี้ ตลาดเดือน ก.ย.เข้าสู่โหมดแจ่มใสโดยความเสี่ยงต่างๆ เริ่มอยู่ในกรอบจำกัด พร้อมกับเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของ Fundamental และฟันด์โฟลว์ที่ชัดเจน ตลาดหุ้นไทยดูมีเสน่ห์มากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง หนุนให้ฝ่ายวิจัยปรับระดับ Market Earning Yield Gap ที่ใช้กำหนดเป้าหมายดัชนีจาก 4.4% มาเป็น 4.2%(ค่าเฉลี่ยในอดีต) หรือปรับเพิ่มระดับ P/E ตลาดเป็น 18 เท่า (ภายใต้ดอกเบี้ยปลายปีที่ 1.25%)
นอกจากนี้ ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาสที่ 2/2565 ที่สร้างจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ระดับราว 3.5 แสนล้านบาท นำไปสู่การปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้นเป็น 1.17 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น ที่ 96.1 บาท/หุ้น (เติบโตจากปีก่อน 11.7%) ซึ่งทั้ง 2 ส่วนหนุนให้เป้าหมาย SET Index ณ สิ้นปี 2565 อยู่ที่ 1,730 จุด
“ปัจจัยบวก เชื่อว่าน่าจะขับเคลื่อนให้ เงินทุนไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นไทยต่อ อีกทั้งปัจจุบันสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยทางตรงจากต่างชาติยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติไม่ถึง 22% มีช่องว่างให้ไหลเข้ามาได้อีก หรือยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่ 26.2% อีกทั้งในอดีต 9 ปี ที่แล้ว ต่างชาติยังเคยถือครองสูงถึง 30.2%”บล.เอเซียพลัส ระบุ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเน้นการเลือกซื้อ และกระจายการลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี กำไรเติบโตต่อเนื่องอย่าง TIDLOR, M, HMPRO, CK, CKP, PLANB และ SCB
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า หากสมมติฐานให้ต่างชาติซื้อหุ้นคืนไปเท่ากับช่วงก่อนการแพร่ระบาด โควิด-19 คือจะสามารถซื้อสุทธิได้อีก 1.4 แสนล้านบาท สอดคล้องกับสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติที่ปัจจุบันอยู่ที่ 27.1% (เป็นการถือหุ้นโดยตรง 21.1% และถือหุ้นผ่าน NVDR อีกประมาณ 6%) หากต่างชาติกลับมาถือหุ้นไทยเทียบเท่ากับช่วงก่อนการระบาดแพร่ระบาด ในปี 2562 ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 27.8% จะเทียบเท่าเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าอีกราว 1.3 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เดือนก.ย.นี้จะมีการประชุมธนาคารกลางสำคัญ ๆ หลายแห่ง ซึ่งยังคงเร่งเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย และอาจมากกว่าตลาดคาด และการดึงสภาพคล่องออกจากระบบของเฟดจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว (QT) เป็นเดือนละ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนก.ย.นี้เป็นต้นไป คาดจะทำให้ตลาดหุ้นเกิดความผันผวนได้ง่าย ผสานกับความไม่แน่นอนของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งครบ 8 ปีภายในเดือนนี้ อาจทำให้เงินชะลอไหลเข้าหรือพลิกเป็นไหลออกได้ในระยะสั้น
ทั้งนี้ หากดัชนีขึ้นผ่านจุดสูงสุดชั่วคราวที่บริเวณดัชนี 1,650 – 1,665 จุด มองระดับการปรับฐานที่น่าสนใจต่อการทยอยสะสมจะอยู่ที่บริเวณ 1,570 – 1,600 จุด และโอกาสจะกลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้งในไตรมาส 4 โดยยังคงเป้าหมายดัชนีที่เหมาะสมปีนี้ที่ 1,720 จุด
สำหรับประเด็นหุ้นที่น่าลงทุนในเดือนนี้ แนะนำหุ้น 3 กลุ่มคือ 1. หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ แนะนำ AOT, CENTEL, DMT และ SPA 2. หุ้นที่ได้ประโยชน์จากบาทกลับมาอ่อนค่า แนะนำ HANA และ TFG และ 3. หุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว แนะนำ CK และ SCB
“หุ้นเด่นแนะนำคือ AOT, CENTEL, CK, DMT, HANA, SCB, SPA และ TFG ด้านแนวรับสำคัญ อยู่ที่ 1,600 จุด และแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,650 – 1,665 จุด และ 1,700 จุดตามลำดับ”นายอภิชาติระบุ