กำไรบจ.ถ่วงหุ้นไปต่อลำบาก ASP หั่นเป้าปีนี้ลง 2.65 หมื่นล.

บล.เอเชียพลัสคาดหุ้นไตรมาส 4 ผันผวนสูง แกว่งแถว 1,620-1,733 จุด คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ลดเป้ากำไรบจ.ลง 2.4% เหลือ 1.07 ล้านล้านปีนี้ บริษัทมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มจากเงินกู้ซื้อกิจการ ลุ้นเงินทุนต่างชาติกลับ หนุนดัชนีวิ่งขึ้นถึง 1,790-1,848 จุด ส่วนดอกเบี้ยต่างประเทศ คาดธนาคารกลางจีน จะไม่ปรับขึ้นตามสหรัฐ ส่วนฟิลิปปินส์-อินโดนีเซียประชุมวันนี้ คาดปรับขึ้นอีกครั้ง เพื่อพยุงค่าเงิน


วันที่ 27 ก.ย. 2561 จะทราบผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ว่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% อย่างที่ตลาดคาดการณ์หรือไม่ ส่วนธนาคารกลางจีนประกาศว่าจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยตามสหรัฐ ส่วนในเอเชีย ธนาคารกลางฟิลิปปินส์จะมีการประชุม ตลาดคาดว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่ 4 ของปีนี้ อีก 0.5% เป็น 4.5%และธนาคารกลางอินโดนีเซีย น่าจะขึ้นดอกเบี้ย เป็นครั้งที่ 5 ของปีนี้ 0.25% เป็น 5.75% เพื่อพยุงค่าเงินที่อ่อนตัวลงมากในปีนี้

โดย น.ส.ภรณี ทองเย็น รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ส่วนปี 2562 จะขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้ง และปี 2563 ขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง เชื่อว่ากรอบการขึ้นดอกเบี้ยจะหยุดไว้ในปี 2562 เพราะการกีดกันการค้ากระทบผู้บริโภค และภาคการผลิตในวงกว้าง น่าจะกดดันให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะชะลอตัวในอีก 2 ปี นอกจากนี้เศรษฐกิจโลก ยังถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาค่าเงินของประเทศในตลาดเกิดใหม่หลายแห่ง

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในไตรมาส 4/2561 น.ส.ภรณีคาดตลาดจะแกว่งตัวผันผวนสูง อยู่ในกรอบ 1,620-1,733 จุด เนื่องจากจะมีทั้งปัจจัยบวกและลบเข้ามา และมีโอกาสปรับขึ้นถึง1,790-1,848 จุด หากเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาลงทุนอย่างชัดเจน

ทั้งนี้การคาดการณ์ดัชนีบริเวณ 1,620-1,733 จุดในปีนี้ นับว่ายังต่ำกว่าในปัจจุบันที่เคลื่อนไหว1,749.93 จุด

น.ส.ภรณี กล่าวว่า เอเซียพลัสปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในปีนี้ลงประมาณ 2.65 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 2.4% จากประมาณการเดิม ส่งผลให้กำไรสุทธิปีนี้อยู่ที่ 1.07 ล้านล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้น 108 บาท เติบโต 10.3% จากปีที่ผ่านมา ส่วนแนวโน้มในปี 2562 ปรับลดประมาณการกำไรบจ.ลงเล็กน้อย 3,100 ล้านบาท หรือ 0.27% จากประมาณการเดิม ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 1.15 ล้านล้านบาท หรือกำไรต่อหุ้น 115.5 บาทต่อหุ้น เติบโตเพียง 6.9% จากปีนี้ ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตใกล้เคียงตลาดหุ้นภูมิภาค

” ผลกระทบจากสงครามการค้า ตลาดรับรู้แล้ว แต่ปีนี้ยังไม่เห็นผลชัดเจน จะเห็นมากขึ้นในปีหน้า จากนี้ไป จึงเป็นปีแห่งการเฝ้าสังเกตผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ ที่มีต่อเศรษฐกิจโลก เพราะเป็นการเข้าสู่รอบปีที่ 10 นับจากเกิดวิกฤติซับไพรม์ในสหรัฐฯ เมื่อช่วงปี 2551-2552″ น.ส.ภรณีกล่าว

สำหรับปัจจัยบวก การเมืองในประเทศคลี่คลายลง หากพิจารณาจากเงื่อนไขของเวลาแล้ว การเลือกตั้งอาจเป็นได้ทั้งวันที่ 24 ก.พ. 2562 หรือวันที่ 31 มี.ค. 2562 แต่ต้องไม่เกินวันที่ 5 พ.ค. 2562

รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัยแนะกลยุทธ์การลงทุนในภาวะตลาดที่ยังผันผวนสูง เน้นหุ้นที่พึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศ จากกระแสเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในไตรมาส 1/2562 คือ หุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภคในประเทศ ได้แก่ BJC, ADVANC, DTAC กลุ่มวัสดุก่อสร้างและที่อยู่อาศัย ได้แก่ DCC, SEAFCO, LPN กลุ่มสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ได้แก่ EASTW, BGRIM, RJH กลุ่มสื่อนอกบ้าน และมีเงินสดสุทธิ ได้แก่ MACO รวมถึงหุ้นส่งออกที่คาดกำไรโดดเด่นในไตรมาส 2/2561 แต่ราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นไม่มากนัก ได้แก่ TU, CPF