ต่างชาติช้อปหุ้นไทยสนุก1.5 แสนลบ. ชะลอเข้าบอนด์ ลุ้นเป้าดัชนีทะลุ1700

HoonSmart.com>>ต่างชาติโหมซื้อหุ้นไทยมากถึง1.52 แสนล้านบาทในช่วงกว่า 8 เดือน ล่าสุดเก็บอีก 5 พันล้านบาทติดต่อเป็นวันที่สาม แต่เริ่มชะลอลงทุนตราสารหนี้ บล.ทรีนีตี้คาดทุนนอกเข้าชื้อหุ้นต่อเนื่อง เล็งปรับเป้าดัชนีปีนี้สูงกว่า 1,690 จุด แนะ 4 ธีม หุ้นได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง-ท่องเที่ยว, ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลง เน้นกลุ่มไฟฟ้า, ดอกเบี้ยขาขึ้น, หุ้นปันผล ตลาดจับตารายงานประชุมเฟด หุ้นยุโรปร่วงตื่นเงินเฟ้ออังกฤษพุ่ง 10.1%  

วันที่ 17 ส.ค.2565 ตลาดหุ้นไทยบวกตามตลาดภูมิภาคส่วนใหญ่ ดัชนีปิดที่ระดับ 1,639.72 จุด เพิ่มขึ้น 9.77 จุด หรือ +0.60% มูลค่าซื้อขาย 74,639.67 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิอีก 5,701 ล้านบาท สถาบันไทยเริ่มกลับเข้าซื้อวันแรก 1,339 ล้านบาท ด้านนักลงทุนไทยขายทำกำไรมากถึง 5,911 ล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,128.71 ล้านบาท

ส่วนตลาดตราสารหนี้ ต่างชาติซื้อน้อยลงเพียง 1,059 ล้านบาท กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ซื้อสุทธิ 11,032 ล้านบาท ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่าลงเล็กน้อยปิดที่   35.44 บาท/ดอลลาร์

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาเก็บหุ้นไทยมากถึง 152,387.36 ล้านบาท เฉพาะเดือนส.ค.(1-17) ซื้อจำนวน 35,036.57 ล้านบาท ส่งผลให้ดัชนีหุ้นในช่วง 3 เดือน เพิ่มขึ้น 2.88% แต่รวมปีนี้ยังคงติดลบ 1.67%

แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาวันละกว่า 5,000 ล้านบาทติดต่อกันเป็นวันที่สาม ทำให้ตลาดหุ้นไทยแข็งแกร่ง แต่ยังมีปัจจัยต่างประเทศรบกวน  ล่าสุด เงินเฟ้ออังกฤษเดือน ก.ค. +10.1% Y-Y เร่งตัวขึ้นและสูงกว่าตลาดคาด แตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปีอีกครั้ง  ธนาคารกลางอังกฤษ คาดจะแตะ +13.3% ในเดือน ต.ค.กดดันเศรษฐกิจ  และคืนนี้ปัจจัยที่ต้องติดตามคือรายงานการประชุมของเฟดโดยเฉพาะมุมมองเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยในระยะถัดไป ขณะที่ตลาดเอเชียได้แรงหนุนจากธนาคารกลางจีนอัดฉีดเงิน 2 พันล้านหยวน (ประมาณ 295 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เข้าสู่ระบบการเงิน

ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ กล่าวเชื่อมั่นว่า เม็ดเงินทุนต่างชาติจะยังไหลเข้าไทยต่อเนื่อง เนื่องจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่ติดลบ 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐในเดือนเม.ย.-พ.ค.จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น และนักท่องเที่ยวน้อย จะกลับเป็นบวกในปลายปี 2565 และเศรษฐกิจในปีหน้า จะเติบโต 4% นอกจากนี้กำไรต่อหุ้นอยู่ในทิศทางขาขึ้น  รอบนี้คาดว่าจะขึ้นแรงถึง 101-102 บาทในปีนี้ จากเมื่อต้นปีอยู่ที่ 92 บาท รวมทั้งจะเห็นได้ว่าเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นใกล้เคียงกับตลาดพันธบัตรในเดือนส.ค. ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเม็ดเงินลงทุนจากไต้หวันที่โยกเข้ามาในไทยด้วย หลังมีความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างจีน และไต้หวัน สำหรับปัจจัยการเมืองยังมองว่ามีผลต่อตลาดน้อย

“ปีนี้มองเป้าหมายดัชนีอยู่ที่ 1,690 จุด อิงอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) ปี 2566 ของตลาดที่ 106.5 บาท และ Forward PE  ที่ 15.9 เท่า และมีโอกาสที่จะปรับเป้าหมายดัชนีขึ้น เพราะกำไรต่อหุ้นมีโมเมนตัมเป็นบวกจากการปรับเพิ่มของกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.)  นับตั้งแต่ต้นปี 2565 จนถึงปัจจุบัน สินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกให้ผลตอบแทนติดลบตั้งแต่ -1.8% ถึง -50% แต่ตลาดหุ้นไทยยัง Outperform ตลาดหุ้นโลก

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาตลาดทุนทั่วโลกได้รับผลกระทบจากหลายวิกฤต  การเฟดเริ่มมีนโยบายลดความรุนแรงในการขึ้นดอกเบี้ย (Less Hawkish) นำไปสู่การทำกำไรของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และภายหลังจากการที่เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.5-0.75% ในเดือนก.ย.นี้ อาจจะทำให้เกิดความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย มองว่าเงินเฟ้อทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย อาจจะถึงจุดสูงสุดในไตรมาส 3 ปีนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว  ไทยจะขึ้นดอกเบี้ยในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปที่ระดับ 0.25% ต่อครั้ง คาดว่าอาจขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ใน 12 เดือนข้างหน้าสู่ระดับ 1.5% ในกลางปี 2566 แต่ก็ยังถือว่าเป็นระดับต่ำสุดในอาเซียน อย่างไรก็ดี ยังมีความเสี่ยงเรื่องเงินพื้นฐาน (Core Inflation) ที่ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3% ในเดือนกรกฎาคม 2565 และการที่ค่าแรงขั้นต่ำมีโอกาสปรับขึ้นได้ 5-8% ทำให้ Core Inflation มีโอกาสสูงกว่าที่เป้าหมายธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดที่ 1-3%

“เดือนส.ค.ปีที่แล้วเงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับที่ต่ำมาก แต่ส.ค.ปีนี้คาดว่าเงินเฟ้อไทยจะพุ่งขึ้นมาถึง 8-9%”

ส่วนค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 4% มากที่สุดในอาเซียน คาดมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 34-35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ แม้ว่าอาจจะมีความเสี่ยงของเงินทุนไหลออก จากการส่งออกเงินปันผลช่วงเดือนก.ย.และเฟดอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกอย่างน้อย 0.5%

ดร.วิศิษฐ์ แนะนำให้นักลงทุนจัดสรรเงินลงทุนในช่วงที่เหลือของปี 2565  เป็นการลงทุนในตลาดหุ้นไทย 25% ตลาดหุ้นเวียดนาม 10-15% ตลาดหุ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว 10% ตราสารหนี้โลก 25% ทองคำ 5% เท่ากับสินค้าโภคภัณฑ์  และถือเงินสด 15-20% เนื่องจากสินทรัพย์เสี่ยงยังไม่ได้สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ยังไม่คาดการณ์ พร้อมแนะนำให้เพิ่มน้ำหนัก หรือให้น้ำหนักมากกว่าตลาด ใน 4 ธีมหลัก ได้แก่

ธีมที่ 1 บริษัทที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง และการท่องเที่ยว มองว่าประเทศจีนมีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายให้นักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางออกนอกประเทศได้ใน 3-12 เดือนข้างหน้า แนะนำ ERAWAN, AOT, CENTEL แต่เมื่อไรที่จีนเปิดประเทศจะทำให้นักท่องเที่ยวเข้าไทยมากขึ้น ซึ่งหุ้นที่่น่าสนใจเป็นหุ้น CPALL และกลุ่มสื่อสาร

ธีมที่ 2 บริษัทที่ได้ประโยชน์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า

ธีมที่ 3 หุ้นปันผลสูงเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ หุ้น BCP, ESSO, SPRC, TISCO, BANPU, TOP, TCAP เป็นต้น

ธีมที่ 4 บริษัทได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น ได้แก่ กลุ่มธนาคาร แต่การส่งผ่านการขึ้นดอกเบี้ยไปเป็นดอกเบี้ยเงินกู้ในรอบเศรษฐกิจนี้จะมีประสิทธิภาพน้อยลง

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า  หุ้นวันนี้ปรับตัวขึ้นจากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อสุทธิตลอด 4 สัปดาห์แล้ว ซึ่งที่จริงไม่ได้ซื้อหุ้นไทยมาก แต่ไปทำ Long มากใน SET50 ซึ่งต่างชาติสะสมมา 187.000 สัญญาแล้วนับตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.รวมประมาณ 4 สัปดาห์กับอีก 2 วัน ขณะที่ซื้อหุ้นไทย 34,000 ล้านบาท ซึ่งทุกอย่างตอนนี้ดีหมด กำไรของบริษัทจดทะเบียนก็ดี

อย่างไรก็ดี ให้ติดตามคืนนี้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC)เปิดเผยรายงานการประชุมวันที่ 26-27 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งรอดูว่าจะมีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างไรบ้าง หากออกมามีมุมมองเป็นบวกก็คิดว่าแรงซื้อจะเข้าไปที่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีในประเทศที่พัฒนาแล้ว ขณะที่ไทยไม่มีกลุ่มนี้ทำให้อาจมีการชะลอการลงทุนหุ้นไทยได้ และติดตามยอดค้าปลีกเดือนก.ค.ของสหรัฐในคืนนี้ด้วย

“หุ้นไทยยังเป็นบวกจากแรงซื้อต่างชาติมองว่าเป็นการเล่นเทรดดิ้งใน TFEX จากการทำ Long ก็เลยส่งผลถึงตลาดหุ้นด้วย ช่วงหลังก็มีการชะลอ ทำให้คนกลัวต่างชาติจะขาย จึงหันไปเล่นหุ้นตัวเล็กมากกว่าตัวใหญ่  เก็งกำไรหุ้นอิเล็กทรอนิกส์ได้ จากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีกำลังจะมา ซึ่งวันนี้หุ้น DELTA ก็ยังหนุนตลาดอยู่”

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันที่ 18 ส.ค.2565 ตลาดฯยังมีโอกาสปรับขึ้นได้ หากต่างชาติยังไม่ขาย โดยให้แนวรับ 1,630-1,624 จุด ส่วนแนวต้าน 1,624-1,650 จุด