HoonSmart.com>>ธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์บาดเจ็บหนัก ไตรมาส 2/65 เจอราคาเหรียญดิ่งหลุด 20,000 ดอลลาร์ หายไปกว่า50% จากไตรมาส แรก บันทึกด้อยค่าราคาบิทคอยน์ ซ้ำยังเจอค่าไฟสูงตามน้ำมัน “เอเจ แอดวานซ์ ฯ”ขาดทุนยับ 54 ล้านบาท ส่วน”BROOK”ลงทุนเยอะ ขาดทุนถึง 353 ล้านบาท หวังไตรมาส 3 จะดีขึ้น ราคาบิทคอยน์ฟื้น เศรษฐกิจสหรัฐค่อยๆลง เฟดไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย หนุนหุ้นบวก ต่างชาติซื้อหุ้นไทยอีก 5 พันล้านบาท
บริษัทจดทะเบียนประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2/2565 ออกมาแล้วไม่ได้แย่อย่างที่กังวลกัน หลังจากราคาน้ำมันดิบถีบตัวขึ้นสูงทะลุ 120 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่งผลต่อเนื่องถึงต้นทุนวัตถุดิบ ค่าขนส่งสูงขึ้นตามไปด้วย แต่วิกฤตการณ์ราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่ดิ่งลงเหวอย่างรวดเร็ว สร้างความเสียหายให้แก่นักลงทุน และผู้ประกอบการในธุรกิจนี้เต็มๆ โดยเฉพาะบริษัทที่ขยายธุรกิจไปทำเหมืองขุดบิทคอยน์ ราคาที่ดิ่งลงต่ำกว่า 20,000 ดอลลาร์สิ้นเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา เทียบกับไตรมาสแรกสูงกว่า 45,500 ดอลลาร์ ราคาที่หายไปมากกว่า 50% ทำให้ต้องบันทึกด้อยค่าของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลตามราคาตลาด ขณะเดียวกันรายได้ที่รับเข้ามากลับน้อยกว่าค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนที่จ่ายไป เนื่องจากค่าไฟฟ้า ซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญในการขุดเหมืองกลับถีบตัวสูงขึ้นมากตามราคาน้ำมันดิบ
บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น (JTS) เปิดผลงานไตรมาสที่ 2/2565 มีกำไรสุทธิ 34.73 ลดลง 2.59 ล้านบาท หรือประมาณ 6.94% เทียบกับกำไรสุทธิ 37.32 ล้านบาทในช่วงเดียวกันในปีก่อน เนื่องจากบันทึกด้อยค่าของสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวน 30.16 ล้านบาทตามมูลค่ายุติธรรม (ราคาตลาด) ของเหรียญบิทคอยน์ต่อเหรียญดอลลาร์สหรัฐที่ลดลง
นอกจากนี้ รายได้จากธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ จํานวน 22.23117666 เหรียญบิทคอยน์ คิดเป็นเงิน 23.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นจํานวน 3.62085540 เหรียญบิทคอยน์ หรือ 19.46% เมื่อเทียบกับ ไตรมาสที่ 1/2565 แต่ต้นทุนเหมืองขุดบิทคอยน์เพิ่มขึ้น 34.31 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 จากต้นทุนในการดําเนินงานเหมืองขุดบิทคอยน์เพิ่มขึ้น จํานวน 4.0 ล้านบาท
ส่วนบริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น (ZIGA) ขาดทุนสุทธิ 27.82 ล้านบาท พลิกจากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 50.39 ล้านบาท มีการด้อยค่าของสินทรัพย์ดิจิทัล 10.5 ล้านบาท หลังจากเข้าไปทำธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ ปัจจุบันมีจำนวน 400 เครื่องเทียบเท่า 41,600 TH/s แม้ว่ามีการบริหารจัดการความผันผวนของราคา เมื่อลงมาต่ำกว่าปกติ จะหยุดเครื่องขุดบิทคอยน์ชั่วคราว และซื้อเหรียญบิทคอยน์เข้ามาแทนและยังมีแผนโมเดลธุรกิจ เพิ่มมูลค่าบิทคอยน์ โดยกำลังอยู่อยู่ในขั้นตอนการเตรียมตัวในการออก utility Token พร้อมใช้ ซึ่งยังมีความเสี่ยงในเรื่องความไม่แน่นอนในตัวบทกฏหมาย อาจต้องใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์
“ในไตรมาส 2/2565 บริษัทฯมีรายได้จากการขุดเหรียญบิทคอยน์ 10.7 ล้านบาท บริษัทฯเริ่มประกอบกิจการขุดสกุลเงินดิจิทัล ในเดือนธ.ค. 2564 และมีต้นทุนสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวน 24.9 ล้านบาท และต้องบันทึกด้อยค่ามูลค่าเหรียญบิทคอยน์เป็นจำนวน 10.5 ล้านบาท เนื่องจากนโยบายธนาคารกลางทั่วโลก มีความเข้มงวดส่งผลให้ทั้งภาคเศรษฐกิจและสินทรัพย์ดิจิทัล ได้รับผลกระทบเรื่องสภาพคล่องทั่วโลก หากสถานการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจไปในทิศทางดีขึ้น บริษัทฯยังคงเชื่อว่าราคาเหรียญบิทคอยน์จะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ” บริษัท ซิก้าฯระบุ
บริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี (AJA) ขาดทุนสุทธิ 54.01 ล้านบาท แย่ลงถึง 425.95% จากปีก่อนขาดทุนสุทธิเพียง 16.57 ล้านบาท โดยมีรายได้รวม 178 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.99% มาจากรายได้เหมืองขุดบิทคอยน์ 9.29804041 เหรียญบิทคอยน์ เป็นเงิน 11.34 ล้านบาท บริษัทเริ่มธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ต้นปี 2565 ขณะที่มีต้นทุนเหมืองขุดบิทคอยน์ 13 ล้านบาท และขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์สกุลเงินดิจิทัล 32.32 ล้านบาท
สำหรับบริษัทที่มีการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ไม่ได้ทำธุรกิจเหมืองขุด ก็ประสบปัญหาขาดทุนสูงจากราคาเหรียญดิ่งลงแรง เช่น บริษัท บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป (BROOK) ขาดทุนสุทธิ 352.93 ล้านบาท แย่ลงเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนขาดทุน 267.61 ล้านบาท แม้มีรายได้ 171.61 ลานบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 27.47 ล้านบาท คิดเป็น 19.46% ก็ตาม แต่ขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการวัดมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงิน คือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ในตลาดและเงินลงทุนในหน่วยลงทุน จำนวน 91.46 ล้านบาท จากปีก่อนไม่มีขาดทุน และขาดทุนจากมูลค่าสินค้าคงเหลือลดลง จำนวน 378.49 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจำนวน 8.97 ล้านบาท คิดเป็น 2.43%
ด้านตลาดหุ้นไทยยังคงปรับตัวขึ้นสอดคล้องกับตลาดภูมิภาคที่มีทั้งบวกและลบ ดัชนีปิดที่ 1,629.95 จุด เพิ่มขึ้น 4.70 จุด หรือ +0.29% มูลค่าซื้อขาย 76,866.85 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิอีก 5,004.59 ล้านบาท และซื้อตราสารหนี้ ซื้อสุทธิ 3,507 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนไทยทั้งสามกลุ่มขายหุ้นทำกำไรต่อเนื่อง นำโดยนักลงทุนไทยทิ้ง 2,409.92 ล้านบาท บัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,992.66 ล้านบาท และสถาบันไทย 602.01 ล้านบาท
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าที่คิดไว้ ได้แรงหนุนจากเม็ดเงินทุนต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง ทำให้หุ้นขนาดใหญ่ดูจะได้เปรียบอยู่บ้าง และหุ้นในกลุ่มการแพทย์ และกลุ่มโรงกลั่นเด่นด้วย ขณะที่หุ้นในกลุ่มพลังงานช่วงเช้าเจอแรงขาย แต่พอช่วงบ่ายดีขึ้นเล็กน้อย
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ ขณะที่ตลาดในยุโรปส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวในแดนบวก ส่วนดาวโจนส์ฟิวเจอร์สก็แกว่งบวก-ลบไม่ชัดเจน ท่ามกลางไร้ประเด็นใหม่ และได้ผ่านช่วงประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนแล้ว หลังจากที่ก็ต้องติดตามการทยอยจ่ายเงินปันผล และจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ รวมถึงการเมืองในประเทศ และต่างประเทศด้วย
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันที่ 17 ส.ค.2565 ตลาดฯคงจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ มี upside ไม่มาก เนื่องจากได้ปรับขึ้นมาราว 100 จุดแล้ว ทำให้ตลาดอาจจะอ่อนกำลังลงไปบ้าง แต่ไม่ถึงกับปรับตัวลงแรง พร้อมให้แนวรับ 1,625-1,620 จุด ส่วนแนวต้าน 1,645-1,650 จุด
ด้านดัชนีดาวโจนส์วันที่ 15 ส.ค. ปิดบวก 151 จุด นักลงทุนมีมุมมองทางบวกว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)สามารถดูแลเศรษฐกิจให้ soft landing ได้ แม้ผิดหวังข้อมูลเศรษฐกิจจีนที่ต่ำกว่าคาด โดยยอดค้าปลีกเดือนกรกฎาคมเพิ่ม 2.7% ต่ำกว่า 5% ที่นักวิเคราะห์คาด และผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 3.8% ต่ำกว่า 4.6%ที่นักวิเคราะห์คาด ประกอบกับธนาคารกลางจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างไม่คาดมาก่อน สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศ ข้อมูลเศรษฐกิจของจีนส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ลดลงต่ำกว่า 90 ดอลลาร์