HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นปิดพุ่ง 16.83 จุด นักลงทุนเชื่อมั่นในการซื้อหุ้นมากขึ้นหลังงบฯไตรมาส 2/65 ส่วนใหญ่ดี-คาดการณ์เฟดจะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ยหลัง GDP สหรัฐฯติดลบสองไตรมาสซ้อน-ส่งเงินบาทแข็งค่าขึ้น รอบนี้มีลุ้นดัชนีฯทะลุ 1,600 หากผ่านได้มองจุดสูงสุดของรอบที่ 1,660 หุ้นเด่นเป็นกลุ่มโรงไฟฟ้า-ไฟแนนซ์-อสังหาฯ ได้ประโยชน์จากชะลอขึ้นดอกเบี้ย-ราคาหุ้นร่วงไปมาก นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,853.53 ล้านบาท ด้านนักลงทุนในประเทศขายสุทธิ 2,246.48 ล้านบาท ส่วนแนวโน้มวันพรุ่งนี้ดัชนีฯยังอยู่ในช่วงของการไต่ขึ้นไป แนวรับ 1,583-1,565 แนวต้าน 1,600-1,608 จุด
ตลาดหลักทรัพย์วันที่ 1 ส.ค.2565 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,593.24 จุด เพิ่มขึ้น 16.83 จุด หรือ +1.07% มูลค่าซื้อขาย 82,256.81 ล้านบาท โดยดัชนีแตะสูงสุด 1,596.66 จุด ต่ำสุด 1,581.23 จุด
นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,853.53 ล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ขายสุทธิ 186.25 ล้านบาท ด้านนักลงทุนในประเทศขายสุทธิ 2,246.48 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 579.20 ล้านบาท
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเคลื่อนไหวในแดนบวกเป็นส่วนใหญ่ เช่นเดียวกับตลาดในยุโรปที่เทรดบ่ายนี้ก็อยู่ในแดนบวกกัน รับ Sentiment บวกจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นในการซื้อหุ้นมากขึ้น หลังผลกำไรงวดไตรมาส 2/65 ส่วนใหญ่ที่ประกาศออกมาแล้วอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และการคาดการณ์ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะไม่เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายช่วยหนุน หลังจากที่ตัวเลข GDP ไตรมาส 2/65 ของสหรัฐฯออกมาติดลบ ซึ่งเป็นการติดลบสองไตรมาสติดต่อกัน
สิ่งสำคัญจากนี้ไปจะต้องติดตามดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐ และตัวเลขภาคการผลิตของจีน ถ้าออกมาไม่ดี แสดงถึงเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งข้อดีคือเฟดไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาก ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่า หุ้นเด่นมองเป็นหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า, กลุ่มไฟแนนซ์ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เพราะได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยชะลอการปรับขึ้น และราคาหุ้นก็ปรับตัวลงไปมากแล้วในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งงบของบริษัททั้งในไทยและสหรัฐฯต่างก็ออกมาดี เลยทำให้ไม่มีใครอยากขายหุ้น นอกจากนี้ การที่เงินบาทแข็งค่ายังมาจากจะมีการประชุมกนง.ในสัปดาห์หน้า ซึ่งก็คาดกันว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
“ดัชนีฯในทางจิตวิทยาอยู่ที่ 1,600 จุด ซึ่งหากทะลุไปได้ก็จะมีด่านถัดไปที่ 1,608 จุด และรอบนี้มองจุดสูงสุดที่น่าจะขึ้นไปทดสอบได้ที่ 1,660 จุด โดยดัชนีฯมี High เดิมที่ 1,665 จุด แต่จะให้ขึ้นไปได้ดี วอลุ่มเทรดต้องขึ้นมาเยอะด้วย แต่ทั้งนี้ในทางกลยุทธ์การลงทุนก็ควรจะหาจังหวะในการขายเมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นไป”
ช่วงนี้หุ้นในกลุ่มธนาคารอาจจะเห็นการปรับตัวลงหลังจากที่ได้ประกาศผลประกอบการออกมาแล้ว และกลุ่มธนาคารก็ยังมีเรื่องการจ่ายปันผลระหว่างกาลด้วย แต่คาดว่าสัปดาห์หน้าหุ้นในกลุ่มธนาคารจะกลับมา เนื่องจากคาดการณ์กนง.จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันที่ 2 ส.ค.2565 ดัชนีฯยังอยู่ในช่วงของการไต่ขึ้นไป ในลักษณะแกว่ง Sideway up โดยให้แนวรับ 1,583-1,565 จุด แนวต้าน 1,600-1,608 จุด
5 อันดับหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด ได้แก่
DELTA ปิดที่ 510.00 บาท เพิ่มขึ้น 36.00 บาท หรือ +7.59% มูลค่าซื้อขาย 7,032.96 ล้านบาท
CPALL ปิดที่ 59.75 บาท ลดลง 1.50 บาท หรือ -2.45% มูลค่าซื้อขาย 3,263.08 ล้านบาท
PTT ปิดที่ 35.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ +1.44% มูลค่าซื้อขาย 3,119.75 ล้านบาท
KBANK ปิดที่ 145.00 บาท ลดลง 1.00 บาท หรือ -0.68% มูลค่าซื้อขาย 2,939.07 ล้านบาท
PTTEP ปิดที่ 159.50 บาท ลดลง 3.00 บาท หรือ -1.85% มูลค่าซื้อขาย 2,800.85 ล้านบาท